เย็นย่ำก็ฮัมเพลง: Get Lost

… ช่วงก่อนหน้านี้เป็นวุ่นๆ อยู่กับงาน ชีวิตมันก็เลยเดิมๆ ซ้ำซากซะจนจำวัน-จำคืนไม่ค่อยได้ เพราะวันไหนๆ มันก็เหมือนกัน เผลอแป็บเดียวเวลาก็เปลี่ยนจากวันเป็นเดือน และหลายเดือน … พอมาช่วง 1-2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ยิ่งรู้สึกเบื่อ เบื่อกับทุกอย่างจริงๆ ไม่มีอารมณ์อยากจะทำอะไรเลย ปกติแล้วถ้าผมรู้สึกเบื่อๆ แบบนี้ ผมชอบไปนั่งเล่น-ถ่ายรูปแถวอ่างเก็บน้ำนะ … ว่าแต่อยู่แถวนี้จะไปอ่างเก็บน้ำที่ไหนดีล่ะ

ว่าแล้วก็เลยเริ่มหาอ่างเก็บน้ำที่อยู่ใกล้ๆ เอาแบบที่มันน่านั่งหน่อย ก็ได้มา 2-3 ที่ แถว “ปักธงชัย” “วังน้ำเขียว” แต่ไปสะดุดอยู่ที่นึง ไม่เชิงว่าอ่างเก็บน้ำ แต่มันเป็นสะพานอยู่แถวเขื่อนฯ อ่านดูในเว็บบอกว่าเป็น “Unseen” ที่ใหม่ (จริงๆ นะไม่ได้โม้) ก็เลยกะว่าจะลองไปดูซักหน่อย

ตอนแรกก็แค่วางแผนไว้ว่าจะไป แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะไปตอนไหนดี อย่างนึงก็เพราะไม่ได้เอากล้องมาด้วย ถ้าไปเที่ยวก็อยากไปถ่ายรูปเล่นไง มีแต่กล้องโทรศัพท์มันก็พอถูไถ แต่มันก็นะ … ก็เลยกะว่าจะกลับไปเอากล้องมาก่อนแล้วค่อยหาเวลาแวะไปเที่ยว … แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนแผนเพราะรู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้ว อยากหนีไปซักพัก … ก็เลยไปมันวันนี้แหละ

ทริปนี้ไม่มีอะไรพิเศษ แค่ขับรถเล่นๆ ไปที่ “สะพาน” ที่แค่เห็นรูปจากในเว็บ แต่ระหว่างทางแอบมีเรื่องมาบ่น 2-3 เรื่อง ก็เลยเอามาเขียนบล็อกเลยดีกว่า ถือโอกาสอัพบล็อกหลังจากไม่ได้อัพมาหลายเดือน

… พี่ … ผมพึ่งแวะฉี่ที่ปั๊มเมื่อกี๊เอง

ทริปนี้เริ่มขึ้นตอนเวลาประมาณบ่ายโมงครึ่ง ไม่ได้มีการเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ นอกจากเอาโทรศัพท์ที่ใช้เล่นเน็ตไปด้วย เพราะจะเอาไปใช้ถ่ายรูป แล้วก็หาสายชาร์จเอาไว้ชาร์จไฟในรถ พร้อมกับน้ำเปล่าขวดนึง … ระยะทางจากหอพักไป “วังน้ำเขียว” รวมๆ แล้วก็ประมาณ 60 กิโล น่าจะใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมง แต่ถ้าไปถึงเร็วอาจจะแดดร้อน ผมก็เลยไม่ได้รีบร้อนอะไร ขับรถเล่นไปเรื่อยๆ

ผมไม่เคยขับรถเส้น “โคราช-วังน้ำเขียว” มาก่อนเลยนะ ทริปนี้เลยเป็นการขับรถผ่านถนนหนทางที่ไม่เคยไปมาก่อน … พอขับรถมาซักพักใหญ่ๆ ก็ผ่านปั๊มน้ำมันที่นึง มีการติดป้ายบอกด้วยว่า “ปั๊มสุดท้ายก่อนขึ้นเขา” … อย่างที่บอกว่าไม่เคยขับรถเส้นนี้มาก่อน แต่ก็พอรู้อยู่ว่าไป “วังน้ำเขียว” มันจะต้องขึ้นเขานิดๆ ก็เลยแวะพักรถ เข้าห้องน้ำ ล้างหน้า-ล้างตาซะหน่อย

พอออกจากปั๊มมาได้แป็บนึงก็มาเจอกับเหตุการณ์ประทับใจเหตุการณ์แรก … ผมเจอด่านครับ ตอนแรกก็เหมือนจะไม่มีอะไร แต่แล้วขณะที่ผมกำลังจะขับรถผ่านออกไป พี่แกที่ยืนด้อมๆ มองๆ เข้ามาในรถก็โบกมือให้ผมเอารถไปจอดข้างทางซะงั้น … ในใจก็คิดว่าคงตรวจใบขับขี่กับภาษีตามปกติ แต่พอเลื่อนกระจกเท่านั้นแหละ … เซอร์ไพรสมาก ! พี่แกให้ผมไปตรวจฉี่ครับ  อยู่มาจนป่านนี้ไม่เคยโดนเรียกให้ตรวจฉี่ครับ แล้วด้วยความที่พึ่งแวะปั๊มมา ขับรถออกจากปั๊มไม่ถึง 10 นาที จะมีฉี่ให้ตรวจมั้ยเนี่ย … ผมก็บอกพี่แกอยู่นะว่าพึ่งแวะฉี่ที่ปั๊มมาเมื่อกี๊เอง พี่แกก็บอกว่าไม่เป็นไร ข้างในมีน้ำให้กินจะได้ฉี่ออก … เออ … เยี่ยมมาก ! พอเดินเข้าไปหาพี่ๆ ที่นั่งรอด้านใน ผมก็งงๆ ไม่รู้จะต้องไปตรงไหน อะไร ยังไง !? พี่แก (อีกคน) ก็เลยบอกให้เอาแก้วไปใบนึง แล้วฉี่ใส่แก้วนั่นแหละ ผมก็ยังคงยืนยันเหมือนเดิมว่า ผมพึ่งแวะฉี่ที่ปั๊มมาเมื่อกี๊เองนะครับ พี่แกก็สวนกลับมาว่า “งั้นก็รอฉี่ออกก่อนแล้วค่อยไป” … ครับๆ ผมจะพยายามเบ่งฉี่ให้แล้วกัน  … คือผมก็เข้าใจนะครับว่าโดนเรียกตรวจแล้วอ้างนู่นนั่นนี่มันก็ไม่ใช่เรื่อง แต่คนมันพึ่งฉี่มาเมื่อกี๊นี่นามันจะมีออกมาให้มั้ยเนี่ย … จนแล้วจนรอดผมก็สามารถเบ่งฉี่ออกมาได้นิดหน่อยพอให้ได้ตรวจ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้วแหละ … หลังเสร็จสิ้นธุระ ผมก็เดินจากมาพร้อมกับประสบการณ์ตรวจฉี่ครั้งแรก ซึ่งมันเป็นอะไรที่เยี่ยมมาก ! ต้องมายืนเบ่งฉี่หลังจากพึ่งฉี่มาไม่ถึง 10 นาที ! … ผมว่านะ … คราวหลังพี่ไปตั้งด่านกันก่อนถึงปั๊มดีมั้ย เผื่อคนขับรถมาปวดฉี่พอดี พี่ก็ให้เขาฉี่ใส่แก้วมาตรวจเลย ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

… พอหลุดจากด่านตรวจฉี่มาซักพักก็เริ่มขึ้นเขาครับ … วิวข้างทางก็ดีนะ รู้สึกดีขึ้นมานิดนึง แต่วันนี้ดันแดดแรงไปหน่อย ถ้าครึ้มๆ นิดนึงมันคงเป็นอะไรที่ดีกว่านี้แน่ๆ …

หลังจากขึ้นเขามาก็เจอปั๊มน้ำมัน ว่าแล้วก็เลยแวะเข้าห้องน้ำอีกรอบ (ถ้ามาตรวจฉี่ตอนนี้ผมคงมีให้พี่ได้เต็มแก้วอะ) พร้อมกับเตรียม GPS นำทาง เพราะอย่างที่บอกว่า “สะพาน” มันเป็น “Unseen” การพึ่งพาอุปกรณ์น่าจะช่วยให้เราไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างมั่นใจ

… พอออกจากปั๊มมาแป็บนึงเริ่มมีครึ้มฟ้า-ครึ้มฝนครับ ในใจก็แอบดีใจนิดนึง เพราะกว่าจะไปถึง “สะพาน” มันต้องอากาศดีเว่อร์แน่ๆ … ดูจาก GPS แล้วคิดว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมงคงไปถึง แต่พอเอาเข้าจริงผมหลงทางครับ … คือที่หลงน่ะเพราะ GPS บอกให้เลี้ยว แต่ไม่รู้มันเลี้ยวตรงไหน พอมาเจอที่ให้เลี้ยวมันก็เลี้ยวไม่ทันแล้ว แล้วก็มีรถตามหลังมาอีกก็เลยได้ขับเลยแยกไป 2 รอบ แล้วค่อยหาที่กลับรถกลับย้อนมาทางเดิม เพื่อที่จะได้พบกับเหตุการณ์อันน่าประทับครั้งที่สอง

… ดินแดนมหัศจรรย์

หลังจากเลี้ยวเข้ามาได้ถูกที่-ถูกทางแล้ว ผมก็ขับรถตามถนนต่อไปเรื่อยๆ ซักพักใหญ่ๆ รู้สึกว่าวิวข้างทางมันคุ้นๆ ตานะ ซึ่งมันก็ควรจะคุ้นตาอยู่ครับ เพราะมันเป็นถนนเส้นเดียวกับที่มาจาก “ปากช่อง” แล้วผ่านหน้า “A Cup of Love” นั่นแหละ ในใจก็คิดอยู่ว่าถนนเส้นนี้มันไม่ได้ผ่าน “สะพาน” ที่อยากไปนี่หว่า และแล้ว GPS ก็เฉลยคำตอบให้ครับ ด้วยการบอกให้เลี้ยวขวา ซึ่งผมก็ทำตามอย่างเคร่งครัด … ช่วงแรกถนนหนทางแลดูปกติดีทุกอย่าง แต่อีกซักพักทางมันก็เริ่มเปลี่ยวขึ้นเรื่อยๆ แล้วเหตุการณ์แสนประทับใจก็เกิดขึ้นเมื่อผมหลงไปยังดินแดนมหัศจรรย์แห่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าตั้งอยู่ส่วนไหนของโลก เนื่องจากสัญญาณ GPS ขาดๆ หายๆ ทำให้ไม่สามารถระบุตำแหน่งได้ครับ

… ก่อนจะไปถึงดินแดนมหัศจรรย์ที่ว่าเนี่ย มันเป็นแบบ … ถนนลาดยางมาอยู่ดีๆ แล้วถนนมันก็หายไปเฉยๆ น่ะ แล้วมันมาพีคตรงที่ถนนมันมุดเข้าป่า คือพอมองออกว่าเป็นทาง แต่ทางมันคือทางที่เป็นเศษหินที่รายล้อมข้างทางไปด้วยป่า … เห็นตอนแรกผมก็ใจไม่ค่อยดีนะ แต่มองดูรอบๆ มันก็ไม่มีทางให้ไปแล้วไง อีกอย่างคือ GPS มันก็นำทางมาถึงตรงนี้น่ะ แล้วสัญญาณมันก็หาย … ผมก็เลยตัดสินใจขับรถมุดทางเล็กๆ ข้างหน้าไป … แล้วผมก็พบกับดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้

อันนี้เป็นภาพถ่ายย้อนขึ้นไปข้างบนครับ … ผมขับรถจากข้างบนลงมาข้างล่าง รูปที่ถ่ายมาคือแวะกลับมาถ่ายก่อนจะกลับครับ ตอนแรกไม่ได้คิดอยากถ่าย เพราะกว่าจะพาตัวเองออกมาได้ผมนี่ใจหาย-ใจคว่ำ

… ดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้มันเป็นพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นทางลาดลงจากเขาครับ ค่อนข้างชันพอสมควร ผมขับเกียร์ออโต้ ใช้เกียร์เบอร์ 2 ดึงรถ ข้างทางคือป่า ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นป่าอันอุดมสมบูรณ์ หรือด้านข้างติดหน้าผา … ทางเปลี่ยวมาก ตั้งแต่ก่อนที่จะเลี้ยวเข้ามาเจอดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้ผมไม่เห็นรถเลยซักคัน ไม่ว่าจะรถยนต์หรือมอร์’ไซด์ … ถนนพังยับทั้งสาย ซ้ายพัง-ขวาพัง-กลางพังยับเยิน เป็นหลุม-ร่องค่อนข้างลึกพอสมควร มีโอกาสรถติดแหง็กได้

… พอเลี้ยวแล้วมุดป่าลงมาเห็นสภาพตอนแรกผมนี่ชะงักเลย จะไปต่อหรือถอยหลังดี … ถ้าถอยหลังก็ยากอยู่เพราะมันเป็นโค้งเลี้ยวลงมาแล้วทางก็ไม่ค่อยดีเพราะพื้นถนนมันเป็นเศษหิน จะลงข้างล่างก็อย่างที่เห็น … ผมจอดรถหยุดคิดแป็บนึง แล้วตัดสินใจว่าจะลงต่อครับ แต่จะซ้าย-ขวา-กลาง ทางไหนดี … คำตอบคือ

… ดูจากสภาพแล้วด้านซ้ายเละมาก ผมเลือกชิดขวาครับ

… โอเค … ชิดขวาหน่อย ค่อยๆ ลง … พอผ่านช่วงแรกมาได้ ก็มาเจอเข้ากับช่วงตรงกลางทาง ซึ่งจากการคาดคะเนด้วยสายตาแล้ว ข้างหน้าแม่งหลุมแน่นอน ผมควรจะออกไปทางซ้ายเพื่อข้ามฟากถนนจากขวาไปซ้าย แต่จากภาพข้างบนจะเห็นว่ามันคือหลุมยักษ์กลางถนนนั่นเองครับ … การจะข้ามฟากจากขวาไปซ้ายนั่นแปลว่าผมต้องผ่านไอ้หลุมตรงกลางนั่น ซึ่งมันช่างเป็นอะไรที่ท้าทายเสียเหลือเกิน … ดูแบบนี้อาจจะดูเหมือนมีระยะนะครับ แต่ตอนนั้นคือมันกระชั้นมาก ถ้าหักออกซ้ายล้ออาจติดอยู่ที่หลุมก็เป็นได้ … ว่าแล้วผมก็เลยชิดขวาหน่อยต่อไปครับ

หลังจากเบียดๆ ชิดขวาหน่อยจนหลุดออกมาได้ก็เจอกับปราการด่านสุดท้ายครับ … “เธอเห็นหลุมข้างหน้านั่นไหม” … ณ จุดๆ นี้ “กู” ไม่มีที่ให้ถอยแล้วครับ ตัดสินใจลงหลุมแม่งเลย คือที่ผมกลัวมากๆ นอกจากการลื่นลงมาเพราะความชันของถนนกับเศษหินแล้ว อีกอย่างนึงที่ผมกลัวก็คือติดหลุม-ติดร่อง ครับ แล้วก็กลัวยางแตกมาก … พวกหลุม-ร่องที่เห็นในภาพเหมือนมันไม่เท่าไหร่นะ แต่ตอนขับเข้าไปใกล้ๆ จริงๆ มันก็พอสมควรอยู่ … แล้วกรุณาสังเกตสภาพรอบข้าง ทางเปลี่ยวมาก ! เหมือนไม่มีรถผ่านนานพอสมควรแล้วแหละ ถ้าตกหลุม รถติดแหง็กขึ้นมา ผมจะไปหาคนช่วยจากไหนเนี่ย แล้วสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มีด้วย !

… พอหลุดพ้นจากดินแดนมหัศจรรย์มาได้แบบใจหาย-ใจคว่ำ ก็ยังต้องขับรถผ่านป่าอีกซักพักครับ ถึงแม้ถนนไม่จะทุเรศทุรังเท่าข้างบน แต่มันก็ยังเปลี่ยวอยู่ดี ยิ่งช่วงโค้งสุดท้ายนี่คิดว่าถ้าพ้นโค้งผมจะโผล่ไปที่มิติไหนอีกรึเปล่า เงียบเหงาวังเวงแสนเปลี่ยวมาก !

พอหลุดโค้งสุดท้ายมานิดนึงก็เริ่มมีสัญญาณโทรศัพท์แล้วครับ พร้อมๆ กับ GPS บอกให้เลี้ยวขวาต่อ เอิ่ม … ทางข้างหน้าลาดยาง แต่เลี้ยวขวานี่แม่งทางดินผสมขี้โคลนอย่างเดียวเลยนะ แต่ทำไงได้ … ตอนนี้ผมติดอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ที่ไหนก็ไม่รู้ ก็เลยจำใจเลี้ยวตาม GPS ต่อ … พอเลี้ยวรถมาก็เจอถนนดิน สภาพดีกว่าดินแดนมหัศจรรย์เมื่อกี๊อยู่ ด้านซ้ายเป็นวิวทิวทัศน์สวยงาม แลดูอากาศดีมากครับ ทั้งๆ ที่เมื่อกี๊หลงไปอยู่มิติไหนมาก็ไม่รู้

พอหลุดถนนดินมาก็เจอถนนลาดยางอีกรอบครับ ค่อยอุ่นใจขึ้นหน่อยเพราะอย่างน้อยมันคงเป็นทางที่คนอื่นๆ เขาก็ใช้สัญจรกันอยู่เป็นปกติ แต่หลุมเยอะมาก หลบซ้าย-หลบขวา ขับรถบนถนนสายนี้เกือบ 20 กว่านาทีได้ … ขณะที่กำลังบ่นอยู่ในใจว่าทำไมถนนหนทางมันทุรกันดารลำบากซะเหลือเกิน ผมก็ไปเจอเข้ากับสามแยก ถนนที่อยู่เบื้องหน้าเป็นถนนลาดยาง จากการคาดเดาด้วยสายตามันต้องเป็นเส้นทางปกติธรรมดาที่คนอื่นเขาใช้กันแหงๆ แล้วอิ GPS แม่งพากูไปมุดป่าทำไมเนี่ย !

หลังจากเจอประสบการณ์ในดินแดนมหัศจรรย์ที่อาจพรากชีวิตผมไปได้อย่างง่ายดาย ผมก็กลับขึ้นมาขับรถบนถนนปกติอีกครั้ง … ดูจาก GPS แล้ว อีกไม่นานคงจะถึง “สะพาน” ที่คาดว่าจะมาถึงโดยใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงจากปั๊มน้ำมัน แต่ตอนนี้ล่อมาแล้วชั่วโมงนึงแล้วแต่ก็ยังไม่ถึง

จากสามแยกมาถนนค่อนข้างดีครับ ลาดยางตลอดสาย ไม่มีหลุม-บ่อ ข้างทางก็โอเค ดูดี อากาศดี … แต่พอก่อนจะถึง “สะพาน” ถนนลาดยางมันหายไปครับ กลายเป็นทางดิน แล้ว “สะพาน” นี่แปลกมาก คือ ตัว “สะพาน” เป็นคอนกรีต อีกฟากนึงของ “สะพาน” เป็นถนนลาดยางค่อนดี แต่อิฝั่งที่ผมขับรถมามันเป็นทางดิน … ผมก็งงๆ อยู่ว่ามันใช้เชื่อมเส้นทางกันแบบไหนเนี่ย

… มาถึงจุดหมายปลายทางตอนประมาณสี่โมงเย็น (นิดๆ) ครับ

พอมาถึงก็ได้เวลาพักรถ-พักผ่อน ถ่ายรูปเล่น แป็บนึงก็เตรียมตัวกลับครับ ก็ … อยากมา “สะพาน” ไง … ก็มาถึงแล้วไง ไปคนเดียวจะให้ทำอะไร-ยังไงล่ะ … จริงมั้ย

ช่วงกลางสะพานแถวๆ ป้ายชื่อสะพานวิวสวยใช้ได้ครับ เสียดายที่ไม่ได้เอากล้องมา … ก่อนกลับผมย้อนกลับไปถ่ายรูปดินแดนมหัศจรรย์ครับ แล้วก็วนรถกลับมาทางเดิม แต่เลี้ยวขวาออกถนนลาดยางเส้นที่คนทั่วไปเขาใช้กันนั่นแหละ

… ขากลับคิดว่าน่าจะหมดเรื่องประทับใจแล้วครับ … จนแล้ว-จนรอด เหตุการณ์ประทับใจครั้งที่สามก็มา … คือมันก็ไม่ได้อะไรมาก เพียงแต่ถนนเส้นที่ผมใช้ขับรถกลับเขากำลังทำถนนครับ แล้วถนนไม่รู้จะหลุมเยอะไปไหน ผมขับรถหลบหลุมจนเมารถน่ะ ปกติคนขับรถจะไม่ค่อยเมารถนะ … แต่รอบนี้เมารถจริงๆ เริ่มมึนๆ ตั้งแต่ขับรถกลับไปหาดินแดนมหัศจรรย์แล้วครับ พอต้องมาหลบหลุมอีก เมาจริงๆ … ผมนี่นั่งแอะๆ ในรถคนเดียวน่ะ ดีว่าทั้งวันยังไม่ได้กินข้าว ไม่งั้นอาจมีออกจริงๆ แหงๆ

หลังจากกล้ำกลืนฝืนทนขับหลบหลุม ซึ่งระยะทางก็ไกลเหมือนกันนะ ขับรถไปก็นั่งพะอืดพะอมเมารถไป … และแล้วถนนเส้นนั้นก็พาผมมาทะลุถนนใหญ่สี่เลน ซึ่งเป็นถนนหลักที่มาจาก “ปักธงชัย” ไป “วังน้ำเขียว” ครับ … ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับทางปกติที่คนอื่นเขาใช้กัน ทำไม GPS ไม่พามา (วะ) พาผมไปผจญภัยดินแดนมหัศจรรย์มิติไหนมาก็ไม่รู้ … แต่ผมว่าอย่างนึงคงเป็นเพราะผมเปิด GPS ช้าแน่ๆ ซึ่งพอเปิด GPS แล้ว ตำแหน่งที่อยู่ตอนนั้น (ปั๊มน้ำมัน) มันน่าจะเลยถนนเส้นนี้ไปแล้ว GPS มันก็เลยไปเลือกอีกเส้นทางนึงให้ ซึ่งมันก็คือเส้นทางที่ผมขับรถขาไปนั่นแหละ

… บทส่งท้าย

… อย่างที่บอกว่าทริปนี้มันเป็นทริปง่ายๆ ธรรมดา ไม่มีอะไรพิเศษ (เหรอ) … พอดีเล่นเน็ตแล้วมีเว็บแนะนำว่าเป็น “Unseen” ซึ่งดูจากในรูปแล้วก็สวยมากครับ แต่รูปในเว็บมันเป็นรูปถ่ายมุมสูงนะ ถ้าไม่เชื่อลองหาดูใน Google ก็ได้ครับ ผมใช้คำ Search ว่า “ที่เที่ยว ปักธงชัย”

… อาจจะดูไร้สาระมากนะครับที่ขับรถตั้งหลายชั่วโมงเพื่อที่จะไป “สะพาน” แต่ด้วยอารมณ์ที่แบบ … อืมนะ อยากหนีไปไกลๆ ซึ่งก็คงยังไม่ไกลพอมั้ง เพราะรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย … และการหลงทางครั้งนี้มันก็ทำให้ผมได้เจอกับ “ดินแดนมหัศจรรย์” ที่ … กูจะไม่มีวันกลับที่นั่นอีกแล้ว !

“Sometimes you find yourself in the middle of nowhere
and sometimes in the middle of nowhere you find yourself.”

“บางครั้งคุณก็ค้นพบตัวเองหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่ง
แต่บางครั้งที่ที่คุณหลงทางอยู่นั้น คุณก็ได้ค้นพบตัวเองเช่นกัน”

แถมท้าย … ขออภัยจริงๆ จำไม่ได้ว่าเอามาจากไหนครับ แต่ผมชอบนะ ขอเอามาแปะละกัน

ใส่ความเห็น