GTH: ย้อนรอยผลงานจากค่ายหนังอารมณ์ดี

… น่ายินดีกับวงการภาพยนตร์ไทยที่มีคนกล้าคิด กล้าลงทุนสร้าง กล้าทำให้ภาพยนตร์ไทยมีคุณภาพไม่แพ้ภาพยนตร์ของต่างประเทศ ซึ่งกว่าจะถึงวันนี้วงการภาพยนตร์ไทยได้ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความรุ่งโรจน์ ผ่านความเสื่อมถอย สะท้อนวิถีชีวิตทุกสิ่งที่มีขึ้นมีลง หากนับการเริ่มต้นทศวรรษใหม่ของภาพยนตร์ไทย

ย้อนหลังไปนับเพียงแค่ 10 ปี ต้องถือว่า ภาพยนตร์ไทยในปี พ.ศ. 2540 ถือเป็นการเริ่มต้นทศวรรษใหม่ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับวงการภาพยนตร์ไทยอีกครั้ง ซึ่งเป็นการทำลายสถิติภาพยนตร์ไทยของ “ไทเอ็นเตอร์เทนเมนท์” จากภาพยนตร์เรื่อง “2499 อันธพาลครองเมือง” ซึ่งในครั้งนั้นทำรายได้สูงถึง 70 ล้านบาท

หลังจากนั้น “ไทเอ็นเตอร์เทนเมนท์” ก็ลุ่มๆ ดอนๆ ในวงการภาพยนตร์เรื่อยมา จนมาจับมือกับโปรดักซ์ชั่นเฮาส์อย่าง “หับ โห้ หิ้น” อีก 3 ปีต่อมา ก็ได้สร้างปรากฏการณ์อีกครั้งให้กับวงการภาพยนตร์ไทยกับเรื่อง “สตรีเหล็ก” ในปี พ.ศ. 2543 ภาพยนตร์ตลกที่สร้างจากเรื่องจริงของทีมวอลเลย์บอลชายที่ผู้เล่นทั้งทีมเป็นชายประเภทสอง เพื่อสะท้อนให้สังคมเห็นมุมมองความน่ารัก ความเข้มแข็ง ความเป็นตัวตนของคนกลุ่มนี้และเกิดการยอมรับกลุ่มบุคคลที่เกิดเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย “ยงยุทธ ทองกองทุน”

“สตรีเหล็ก” ประสบความสำเร็จด้านรายได้และคำชื่นชมจากต่างประเทศในหลายเทศกาล เช่น “Pusan International Film Festival” รางวัลรองชนะเลิศ “Discovery Award” ในงาน “Toronto International Film Festival” ปี ค.ศ. 2000 และรางวัลชนะเลิศ “Reader Jury of the “Siegessäule”” และ “Teddy – Special Mention” ในงาน “Berlin International Film Festival” ปี ค.ศ. 2001

“ยงยุทธ ทองกองทุน” ผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศ “บริษัท จีเอ็มเอ็ม ไท หับ จำกัด” บอกเล่าในงานเสวนา “หนังไทย คิดไกล … ไปไกลกว่าที่คิด โดย GTH” เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ว่าความสำเร็จของ “สตรีเหล็ก” ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ชม มีรายได้รอบแรกมากถึง 1 ล้านบาท และอยู่ในโรงภาพยนตร์นานถึง 11 สัปดาห์ ส่งผลให้ภาพยนตร์ไทยได้รับ “เครดิต” ในต่างประเทศมากขึ้น และทำให้ “GMM Picture” เข้ามาติดต่อให้ “หับ โห้ หิ้น” ร่วมทุนเปิดบริษัทสร้างภาพยนตร์ให้แกรมมี่ จึงเกิดเป็น “หับ โห้ หิ้น ฟิล์ม” ขึ้น โดยมี จุดมุ่งหมายที่จะสร้างภาพยนตร์คุณภาพให้คนไทยได้ดู โดยผลงานเรื่องแรก “15 ค่ำ เดือน 11” ได้รับเสนอชื่อเป็นตัวแทนของประเทศไทยไปงาน “Academy Awards” ซึ่งนับว่าเป็นการประกาศ “Attitude” ของบริษัทอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ต่อมาในปี พ.ศ. 2546 “หับ โห้ หิ้น ฟิล์ม” กลับมาร่วมงานกับ “ไทเอ็นเตอร์เทนเมนท์” และ “GMM Picture” ในโปรเจคท์หนังสั้นที่มีชื่อว่า “อยากบอกเธอ รักครั้งแรก” ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพยนตร์เรื่อง “แฟนฉัน” ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาดทำให้สามบริษัทตัดสินใจร่วมทุนกันอย่างถาวรในชื่อ “GTH” หรือชื่อเต็มว่า “GMM Thai Hub” ในปีถัดมา และเป็นไปตามคาด เมื่อ “แฟนฉัน” ประสบความสำเร็จอย่างมากกวาดรายได้ไป ทั้งสิ้น 137 ล้านบาท

แนวคิดภาพยนตร์ของ “GTH” มักจะมาจากเรื่องราวในชีวิตจริงและกระแสสังคม ณ เวลานั้น เช่น เรื่อง “แก๊งชะนีกับอีแอบ” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการไม่ยอมรับตัวเองของเพศทางเลือก ต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่นำเสนอในแง่ของการต้องการยอมรับจากสังคม เรื่อง “ความจำสั้น แต่รักฉันยาว” ซึ่งนำเสนอในแง่ของความรักของสองคู่ต่างวัย ความรักของคนสูงวัยที่แสนโรแมนติก และความรักของวัยหนุ่ม-สาวที่แสนขมขื่น นอกจากนี้ “GTH” ยังชอบทดลองภาพยนตร์แนวใหม่ๆ เช่น หนังสั้นหลายเรื่องๆ ที่รวมเป็นภาพยนตร์หรือที่เรียกว่า “Omnibus film” อย่าง “4 แพร่ง” ซึ่งเป็นการเสนอสิ่งใหม่ๆ ให้กับคนดูและได้รับการตอบรับอย่างดี ความท้าทายในการสร้าง “Omnibus” คือต้องสามารถดึงอารมณ์ผู้ชมจากเริ่มให้ขึ้นจนสุด แล้วเริ่มใหม่ให้ขึ้นจนสุดอีกรอบในตอนจบให้ได้

ความสำเร็จของภาพยนตร์ “GTH” คือการสร้างภาพยนตร์คุณภาพ ซึ่งมีต้นทุนค่อนข้างสูงประมาณ 20 กว่าล้านบาทต่อเรื่อง คิดเป็น 7-8 แสนบาทต่อวัน โดยภาพยนตร์ “GTH” แต่ละเรื่องใช้เวลาในการถ่ายทำไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่ปรากฏว่าในปีที่ครบรอบ 7 ปี การทำรายได้ของ “GTH” ในปี พ.ศ. 2555 ลดลงอย่างชัดเจน มีภาพยนตร์ทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท เพียงเรื่องเดียว คือ “ATM เออรัก … เออเร่อ” ส่งผลทำให้ในปี พ.ศ. 2556 “GTH” จะลดการสร้างภาพยนตร์จากปีละ 6-7 เรื่องเหลือเพียง 3-4 เรื่อง เพราะไม่อยากลดต้นทุนทำภาพยนตร์

“วิสูตร พูลวรลักษณ์” ประธานกรรมการบริษัท บอกว่า เพราะอยากคงโปรดักชั่นดีๆ ไว้ จึงตัดสินใจลดจำนวนเรื่องแทน ผลจากการลดจำนวนเรื่องดังกล่าวทำให้ต้องพักโครงการที่เคยประกาศไว้ว่าต่อไปจะทำหนังดี 1 เรื่อง สลับกับการทำหนังทำเงิน 2 เรื่องออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม ในบรรดาเรื่องที่ตั้งใจให้ทำเงินนั้นนอกจากคุณภาพของงานแล้วยังจะสอดเเทรกข้อคิดต่างๆ ลงไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ช่วงบ่ายของวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ได้มีการแถลงยุติการดำเนินงานของบริษัท เหตุผลเนื่องมาจากกลุ่มผู้ก่อตั้งมีเป้าหมายและความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการยุติของบริษัทจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558 และ “GMM Grammy” จะเป็นผู้ดูแลสิทธิ์ในส่วนของผลงานที่ผลิตในนาม “GTH” ในส่วนของนักแสดงและพนักงานให้เป็นไปตามความสมัครใจของแต่ละบุคคล โดยทาง “GMM Grammy” และ “หับ โห้ หิ้น” ได้แยกกันมาเปิดบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ “GDH 599” ซึ่งได้เปิดตัวชื่อเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ปีเดียวกัน

… ตลอดระยะเวลา 11 ปีที่ผ่านมา แฟนหนังชาวไทยได้อิ่มเอมกับผลงานต่างๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการสร้างรอยยิ้มในแบบของตัวเอง และในเมื่อ “GTH” ได้ปิดตำนานลงพร้อมความยิ่งใหญ่ เราขอรวบรวมผลงานที่ผ่านมาของ “GTH” เพื่อตอกย้ำว่าพวกเขายอดเยี่ยมขนาดไหน ลองดูไปพร้อมกันว่าเรื่องไหนขึ้นแท่นหนังในดวงใจของคุณบ้าง

15 ค่ำ เดือน 11  (2545)

รายได้ : 55 ล้านบาท

คืนออกพรรษาที่นี่ไม่เหมือนที่ไหนๆ ในโลกเพราะที่นี่คือ “ริมฝั่งโขง” อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย หลังพระอาทิตย์ตกดิน ผู้คนที่ไหนๆ พากันเข้าบ้าน กินข้าว พูดคุย ดูโทรทัศน์ หลับนอน แต่ที่นี่คนนับหมื่นนับแสนแห่แหนกันมานั่งรอ ยืนรอ นอนรอ อยู่ริมตลิ่ง สองตามองจ้องจับอยู่ที่กลางแม่น้ำ บังคับกล้ามเนื้อตาว่าอย่ากระพริบ เพราะวินาทีไหนก็ไม่รู้ที่ลูกไฟสีแดงส้มขนาดเท่าไข่ไก่จะผุดขึ้นสู่ท้องฟ้าให้ตกตะลึงพรึงเพริดและหายวับไปในเวลาเพียง 2-3 วินาที ลูกเด็กเล็กแดง คนหนุ่มสาวต่างร้อง เฮ! อย่างกับเชียร์บอล เมื่อลูกไฟพิศวงพุ่งขึ้นตรงนั้น-ตรงนี้นับสิบ-นับร้อยตลอดลำน้ำ ส่วนคนเฒ่าคนแก่พากันร้องสาธุ การณ์เป็นอย่างนี้หลายสิบปีดีดักมาแล้ว ลูกไฟพิศวงนี้มาจากไหน มันคืออะไร ไสยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ คุณศรัทธาในสิ่งใด คุณมีเหตุผลไหม

ขณะนี้ผู้คนบนฝั่งไทยกำลังโห่ร้องยินดีกับบั้งไฟพญานาค “คาน” หนุ่มโพนพิสัย กำลังกระโดดตบมือกับ “หลวงพ่อโล่ห์” ณ วัดลาว ต่างลิงโลดกับวีรกรรมร่วมกัน วีรกรรมดำน้ำลงไปฝังลูกบั้งไฟดิบใต้ลำน้ำโขงก่อนคืนออกพรรษา ส่วน “หมอนรติ” ประจำโรงพยาบาลหนองคายนั้นเล่าก็กำลังเฝ้ารวบรวมหลักฐานเพื่อสนับสนุนทฤษฎีที่ว่าลูกไฟนี้เกิดจากการหมักหมมของซากพืช-ซากสัตว์ใต้ลำน้ำโขง ซึ่งก่อตัวเป็นก้อนก๊าซและถูกดูดให้ลอยขึ้นเหนือพื้นน้ำโดยดวงจันทร์และเกิดปฏิกิริยาสันดาบกับโอโซนในอากาศ ส่วน “ด็อกเตอร์สุรพล” แห่งภาควิชาเทคโนธรณี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ก็ออกมาค้านทุกอย่างที่ “หมอนรติ” เชื่อ ก็แม่น้ำโขงไหลเชี่ยวออกอย่างนั้นซากอะไรจะไปสะสม ส่วนก้อนก๊าซจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อแม่น้ำโขงต้องหยุดไหล 5 วัน และมีอุณหภูมิเลยจุดเดือดไป 526 องศา สำหรับ “ด็อกเตอร์สุรพล” แล้ว ลูกไฟนี้ต้องเป็นฝีมือมนุษย์แน่นอน ขณะที่ครูใหญ่ แม้จะสอนวิชาคณิตศาสตร์มาทั้งชีวิต แต่ความเป็นคนหนองคาย รักหนองคาย ทำให้เขาไม่อยากรู้เลยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และหากมีอะไรสักอย่างที่ครูทำโดยไม่ได้ขอรับเงินเดือนหลวงล่ะก็ สิ่งนั้นคือหยุดยั้งพวกชอบพิสูจน์ให้เด็ดขาด

คืนออกพรรษาคืนนี้อาจเหมือนหรืออาจไม่เหมือนคืนออกพรรษาปีก่อน … เพราะปีนี้ “คาน” ทำคอแข็ง ตาแข็งและเสียงแข็งบอก “หลวงพ่อโล่ห์” ว่า “ปีนี้เราเลิกเถอะครับหลวงพ่อ”

แฟนฉัน  (2546)

รายได้ : 137.7 ล้านบาท

ภาพแห่งอดีตจริงๆ แล้วมันไม่เคยจากไปไหน มันอาจจะซุกอยู่ที่ซอกหนึ่งในลิ้นชักความทรงจำ และอยู่อย่างนั้นมาตลอด จนความทรงจำใหม่ๆ เข้ามาทับ เข้ามาซ้อน ดันมันไปจนสุดลิ้นชัก แต่เมื่อใดก็ตามที่ได้ยินเพลงอย่างนี้แว่วมา หรือเห็นรูปภาพสีเหลืองๆ แดงๆ เก่าๆ ความทรงจำในครั้งนั้นก็เหมือนถูกมือซนๆ หยิบมันออกมาปลุกให้กลับมามีชีวิต … อีกครั้งหนึ่ง

ทุกคนคงมีภาพความทรงจำในวัยเด็กกันทั้งนั้น เหมือนกันในรูปแบบ ต่างกันในรายละเอียด มีสิ่งที่ชอบเล่นเหมือนกัน ผู้ชายอาจจะมีขี่จักรยาน เป่ากบ ผู้หญิงอาจจะมีกระโดดยาง เล่นขายของ … แต่ผมมีทั้งสองแบบ บางคนอาจจะขลุกอยู่หน้าจอทีวีกับลีลาสุดเท่ของยอดมนุษย์ หรือจอมยุทธจากหนังจีนกำลังภายใน ในขณะที่บางคนอาจจะชอบใช้ชีวิตนอกบ้าน เที่ยวเล่นจนตัวดำ ออกจากบ้านตั้งแต่เช้า กลับมาอีกทีก็เมื่อฟ้ามืด … แต่ … ผมเป็นทั้งสองแบบ บางคนอาจจะมีเพื่อนเป็นแก๊งค์ลิงทะโมนอยู่กลุ่มใหญ่ที่พากันดื้อซนจนแม่ๆ เอือมที่จะด่า ในขณะที่อีกคนกลับมีเพื่อนน้อยมาก เพื่อนที่ซี้ที่สุดอาจจะมีแค่คนเดียว และเป็นเด็กผู้หญิงแก่นกะโหลกด้วยก็มี … และผมก็มีทั้งสองแบบ

“น้อยหน่า” คือชื่อเด็กผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่ยังเล็ก เพราะบ้านเราอยู่ติดกัน แถมละแวกบ้านเรายังไม่ค่อยมีเด็กวัยเดียวกันอีก เราจึงเล่นด้วยกัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการละเล่นแบบผู้หญิง พวกกระโดดยาง เล่นขายของก็ตาม ผมก็สนุกที่จะเล่นกับเธอ จนกระทั่ง … ผมเริ่มโต เริ่มอยากเล่นแบบเด็กผู้ชายที่มันโลดโผนบ้าง ถึงขนาดไปขอเข้าแก๊งค์เด็กผู้ชายที่เป็นคู่อริกับ “น้อยหน่า” ก็ยอม พวกมันยื่นคำขาดให้ผมพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายให้มันเห็น ลูกผู้ชายที่เข้มแข็ง สามารถเอาชนะศัตรูได้ และศัตรูของพวกมันก็คือ “น้อยหน่า” และเด็กๆ ผู้หญิงละแวกนั้น … ผมยอมทำ นั่นทำให้ “น้อยหน่า” โกรธผม และอาจจะถึงขั้นเกลียดเลยก็ได้ และที่สำคัญก็คือ ผมไม่มีโอกาสได้ขอโทษเธอ เพราะไม่กี่วันต่อมา เธอก็ย้ายบ้านไปที่อื่น คนละจังหวัดกัน และไม่ได้เจอเธออีกเลย

วันนี้เธอส่งการ์ดงานแต่งงานมาให้ที่บ้านผม สิบกว่าปีที่เราไม่ได้เจอกัน เธอยังจำเพื่อนคนแรกของเธอได้ ลิ้นชักของเธอคงเป็นระเบียบกว่าของผมเยอะ ไม่รู้ว่าเธอจะเปลี่ยนไปแค่ไหน หรือว่าเห็นหน้าผมแล้วเธออาจจะงงว่าไอ้ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนเดียวกับเด็กชายคู่หูเธอคนนั้นหรือเปล่า แต่ผมก็จะไปงานแต่งงานเธอ เพื่อนซี้เมื่อสิบขวบของผม … แน่ๆ

ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ  (2547)

รายได้ : 107.1 ล้านบาท

เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อ “ธรรม์” (อนันดา เอเวอริ่งแฮม) ช่างภาพหนุ่มวัย 25 ปี ไปร่วมงานแต่งงานของ “ต้น” เพื่อนสนิทสมัยเรียนของเขา “ธรรม์” ดื่มเหล้าจนเมา ขากลับ “เจน” แฟนสาวของเขาจึงอาสาขับให้

ระหว่างทางเกิดเรื่องราวไม่คาดฝันขึ้น เมื่อ “เจน” ขับรถชนร่างของหญิงสาวคนหนึ่งเต็มแรง ร่างนั้นกระเด็นข้ามรถไปนอนนิ่งอยู่ที่ด้านหลัง รถเสียหลักพุ่งเข้าชนป้ายโฆษณาข้างทางทันที เมื่อตั้งสติได้ “ธรรม์” ตัดสินใจบอกให้ “เจน” ขับหนีจากที่เกิดเหตุ “เจน” ลังเลด้วยความกลัว แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเหยียบคันเร่งขับหนีออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว

หลังจากวันนั้นเหตุการณ์แปลกประหลาดก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อ “ธรรม์” พบว่ารูปรับปริญญาที่เขาไปรับถ่ายให้รุ่นน้องคนหนึ่งเกิดแสงเงาประหลาดขึ้นมากมาย แสงเหล่านั้นปรากฏในหลายลักษณะ บางรูปดูเหมือนว่ามีใครมาบังหน้ากล้อง ทั้งที่ตอนถ่ายก็ไม่มีใคร และเมื่อนำฟิล์มมาดูก็พบว่ามีแสงเงาเช่นกัน “ธรรม์” แปลกใจมากว่าทำไมถึงมีรูปเสียมากมายขนาดนี้ เมื่อ “เจน” ได้เห็นรูปเหล่านั้น เธอพบว่ารูปหนึ่งในจำนวนนั้นเห็นเงาในภาพปรากฏคล้ายใบหน้าของผู้หญิงมาก เธอเริ่มหวาดกลัวและเริ่มบอกให้ “ธรรม์” กลับไปสืบดูเรื่องหญิงสาวที่ถูกรถชน “ธรรม์” ไม่เชื่อ “เจน” คิดว่าเป็นรูปเสียธรรมดา แต่เมื่อเขาขยายรูปดูก็พบว่าเงานั้นคล้ายใบหน้าของหญิงสาวจนน่ากลัว

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ไปทำบุญบริจาคโลงศพที่มูลนิธิร่วมกตัญญู “เจน” สังเกตเห็นว่าที่บอร์ดรูปอุบัติเหตุนั้นมีรูปหนึ่งที่ปรากฏเงาคล้ายกับที่มีในรูป “ธรรม์” เป็นแสงเงาออกมาจากร่างของผู้เสียชีวิต “เจน” ยิ่งเชื่อว่าเงาที่ปรากฏในภาพต่างๆ เป็นวิญญาณจริงๆ เธอตัดสินใจขับรถไปดูที่เกิดเหตุทันที เมื่อไปถึงพบว่าคนงานกำลังซ่อมแซมป้ายโฆษณาที่คืนนั้น “เจน” ขับชนอยู่ “ธรรม์” แกล้งไปสอบถามและได้คำตอบว่าคืนนั้นมีคนเมาขับรถมาชนป้าย และไม่มีใครบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแม้แต่น้อย รวมทั้งเมื่อตรวจสอบจากโรงพยาบาลและโรงพักก็พบว่าไม่มีรายงานอุบัติเหตุแจ้งเข้ามาเลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นราวกับหญิงสาวในคืนนั้นไม่มีตัวตน ทั้งคู่แปลกใจมาก

เงาประหลาดยังคงปรากฏในภาพถ่ายของ “ธรรม์” จนเขาและ “เจน” ตัดสินใจเดินทางไปสอบถามเกี่ยวกับรูปวิญญาณจากนิตยสารที่ชอบลงเรื่องราวเกี่ยวกับรูปพวกนี้ ทั้งคู่พบว่าหลายรูปที่ลงในหนังสือนั้นเกิดจากการปลอมแปลง แต่ก็มีหลายรูปที่พวกเขาเองก็ไม่แน่ใจ โดยเฉพาะรูปที่ถ่ายจากกล้องโพลารอยด์

ไม่นาน “เจน” ก็เริ่มพบเงื่อนงำบางอย่างในภาพ เธอพบว่าในรูปรับปริญญาที่ “ธรรม์” ถ่ายให้รุ่นน้อง เงาวิญญาณปรากฏในตำแหน่งเดียวกันหลายรูป นั่นคือบริเวณหน้าต่างของห้องๆ หนึ่งในตึกวิทยาศาสตร์ เธอบอก “ธรรม์” ถึงสิ่งที่เธอค้นพบแต่ “ธรรม์” ไม่เชื่อ เธอจึงตัดสินใจไปสืบดูด้วยตนเอง เธอหยิบกล้องโพลารอยด์ไปถ่ายรูปในห้องนั้นด้วย และพบว่าเธอถ่ายติดเงาประหลาดในห้องนั้นจริงๆ เธอตกใจมาก ฉับพลันรูปใบหนึ่งที่แขวนอยู่บริเวณกำแพงที่เธอถ่ายติดเงาวิญญาณตกลงมา เธอพบว่าเป็นรูปถ่ายของหญิงสาวคนหนึ่ง หลังจากนั้นทั้ง “ธรรม์” และ “เจน” ได้เดินทางไปสืบหาความจริงเกี่ยวกับหญิงสาวคนนี้ว่าเธอคือใคร และเธอเกี่ยวข้องกับกลุ่มของ “ธรรม์” อย่างไร

สายล่อฟ้า  (2547)

รายได้ : 75 ล้านบาท

“ไอ้ตุ่น” กับ “ไอ้เต่า” เป็นเพื่อนคู่ซี้-คู่ฮาประจำหาดพัทยา “ตุ่น” เป็นเซียนพระที่ได้มรดกกิจการมาจาก “เซียนต่าย” พ่อมัน ส่วน “เต่า” เป็นเซียนบอลที่คลั่งไคล้เพลง “สายล่อฟ้า” ของ “ป้อม-อัสนี” เข้าไส้ ไปคาราโอเกะทีไรมันแหกปากร้องเพลงนี้จนหวิดหัวแตกมาแล้วหลายเที่ยว คืนหนึ่งที่บาร์คาราโอเกะ “ตุ่น” ไปตกหลุมรักสาวนางหนึ่งเข้าโดยไม่รู้เลยว่า “น้องนก” เป็นเด็กของ “กำนันหมู” มาเฟียใหญ่ของพัทยาที่ “เต่า” เช่ามาเอาใจเพื่อน

หลังจากคืนแห่งความทรงจำ “น้องนก” ก็หายตัวไป “ตุ่น” พยายามตามหาจนถูก “ปลา” กะเทยแม่เล้าหลอกฟันเงินไปแสนหนึ่ง ร้อนถึง “เต่า” ที่กำลังอยากจะยืมเงินเพื่อนไปคืนหนี้โต๊ะบอลอยู่พอดีต้องไปทวงให้ “ปลา” ขอใช้คืนเป็นโคเคนโดยเอาไปขายให้ “เฮียหมา” แต่ด้วยความซื่อผสมความเซ่อ “เต่า” กลับโดน “เฮียหมา” ต้มซ้ำเข้าไปอีก เมื่อเข้าตาจน “เต่า” จึงไปดักจับ “น้องหนู” สาวลูกครึ่งมาเรียกค่าไถ่

“ตุ่น” ซึ่งหลงรัก “น้องนก” หัวปักหัวปำบ้าเลือดเข้าไปขอตัวเธอคืนจาก “กำนันหมู” “กำนันหมู” ยื่นข้อเสนอให้มันเอาเงินมาซื้อความรักในราคาสามล้าน พอดีกับที่ “ผู้ใหญ่หมี” เรียก “ตุ่น” ไปดูพระ มันได้ทีจึงแกล้งตีเป็นของเก๊ แล้วทำเลียนแบบไปขายเองได้เงินมาสามล้าน “ตุ่น” ได้เงินไปไถ่ตัว “นก” สมใจ รวมทั้งใช้หนี้ให้ “เต่า” ด้วย

แต่อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อ “ผู้ใหญ่หมี” รู้ความจริงว่าเสียรู้ “ตุ่น” และ “ไมเคิล” พ่อของ “น้องหนู” ที่ “เต่า” ลักพาตัวดันเป็นเพื่อนกับ “กำนันหมู” อีกที “ตุ่น” กับ “เต่า” จะเอาชีวิตรอดหรือไม่ “น้องนก” จะซึ้งในความรักของ “ตุ่น” หรือเปล่า แล้ว “เต่า” จะได้กลับไปครวญเพลง “สายล่อฟ้า” อีกหรือไม่ มีแต่ “ยุทธเลิศ” เท่านั้นที่รู้!

แจ๋ว  (2547)

รายได้ : 60 ล้านบาท

ปฏิบัติการไฮเทคของเหล่าสาวใช้ที่ถูกวานให้กลายมาเป็นสายลับ นำโดย “แวว” นางซินตัวดำน้ำใจสะอาด “จิ๋มใหญ่” พี่สาวร่างอวบปากตะไกรโรงพยาบาล “แคท” กะเหรี่ยงหัวใจไทยแลนด์ และ “เอ๋” สาวเหนือหน้าจืดจอมเตะผ่าหมาก

เมื่อสี่สาวก้นครัวต้องมาต่อกรกับ “ท่านรัฐมนตรี” “โสภณ” และ “ชัยสิทธิ์” สามผู้ทรงอิทธิพลในภารกิจลับระดับชาติ โดยมี “ประเสริฐ” ข้าราชการหนุ่มใหญ่ผู้มีภรรยาสาวคราวลูกคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง หลายครั้ง-หลายหนที่ต้องปฏิบัติภารกิจอย่างทุลักทุเล กับอุปกรณ์ไฮเทคของบรรดาเหล่าแจ๋วที่ไม่มีความรู้เรื่องอุปกรณ์ไฮเทคเหล่านี้มากกว่าไม้กวาดคู่ใจของพวกเธอ และหลายครั้งที่ต้องผิดหวังกับการทำงานครั้งนี้

สี่แจ๋วจะเอาตัวรวดจากสถานการณ์คับขันต่างๆ ไปได้อย่างไร เมื่อต้องมารับมือทั้งศึกนอก (ครัว) และศึกใน (ครัว) ศึกแรกเสี่ยงตาย ศึกหลังเสี่ยงตบ แต่ไม่ว่าศึกไหนๆ ก็ฮาได้ไม่ต้องเสี่ยง เพราะความเป็น “แจ๋ว” ที่แท้จริงของเขาเหล่านี้

ร่วมเป็นกำลังใจให้ไม้ถูพื้นพิชิตกระบอกปืนของ “แจ๋ว” ทั้งสี่ได้ในภาพยนตร์เรื่องแจ๋ว “ยามศึกแจ๋วรบ ยามสงบแจ๋วกวาด”

มหา’ลัย เหมืองแร่  (2548)

รายได้ : 30 ล้านบาท

ปี พ.ศ. 2492 โชคชะตาของเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้นำพาให้เขาต้องเดินทางข้ามฟากจากโลกศิวิไลซ์ในเมืองหลวงไปสู่อีกโลกหนึ่งอันไกลแสนไกล “อาจินต์ ปัญจพรรค์” ในวัย 22 ปี คือเด็กหนุ่มคนนั้น เขาถูกให้ออกจากคณะวิศวะฯ ปี 2 นั่นเองเป็นจุดสิ้นสุดของความเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย แต่ในขณะเดียวกันคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปสู่การเรียนรู้ชีวิตจริงที่ไม่สามารถเรียนรู้จากตำราเล่มไหน ไม่ได้มีวางขายทั่วไปและหาซื้อได้ด้วยเงิน ต้องแลกด้วยเวลาและหัวใจสู้ ท้อแท้ สนุก เศร้า พบ จาก ขณะที่ “อาจินต์” นั่งอยู่บนรถขนหมูที่วิ่งจากภูเก็ตไปพังงา ยังไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ไม่รู้จักกระทั่งสถานที่ที่เขากำลังจะไป สำหรับเขา จังหวัดพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง ตำบลกระโสม เคยเป็นเพียงสถานที่อันไม่มีความสำคัญใดๆ แม้เพียงจะจุดลงบนแผนที่ แต่ในวันนี้กำลังจะกลายเป็นสถานดัดสันดานที่ถูกพ่อส่งให้ไปอยู่ “อาจินต์” มาถึงเหมืองกระโสม ที่นี่เขาได้พบและสัมภาษณ์งานกับนายฝรั่งและนายฝรั่งก็รับเขาเข้าทำงานในตำแหน่งที่นายฝรั่งเรียกว่าเป็นสมุดพกให้กับแก นั่นหมายถึงการฝึกงาน การติดตามนายฝรั่งและทำงานแทนคนงานที่ขาดงาน “อาจินต์” ภูมิใจกับงานที่ได้รับและที่นี่ วันนี้ ชีวิตปี 1 ในมหา’ลัยเหมืองแร่ได้เริ่มขึ้นแล้ว

วัยอลวน 4 : ตั้ม-โอ๋ รีเทิร์น  (2548)

รายได้ : 50 ล้านบาท

ปัจจุบัน “ตั้ม” อดีตหนุ่มน้อยหน้าคม กับ “โอ๋” สาวน้อยเจ้าแง่แสนงอน ยังรักกันแนบแน่นไม่เปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือวัยและน้ำหนักตัว “ตั้ม” ในวัยเฉียด 50 เป็นทนายหนุ่มใหญ่ที่ลักยิ้มและเขี้ยวเสน่ห์ยังเขย่าหัวใจสาวๆ ได้เสมอ ส่วน “โอ๋” กับรอบเอวที่เพิ่มพูนขึ้นหนึ่งเท่าตัวเป็นแม่บ้านที่น่ารัก อบอุ่น ของ “ใบตอง” ลูกสาวที่กำลังเรียนอยู่ชั้นปี 4 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ กับ “หนามเตย” ลูกชาย ม. 6 ที่รักสวยรักงามจนน่าหวาดเสียว วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ “ตั้ม” และสมาชิกในครอบครัว พ่วงด้วย “ป้าอ้อ” พี่สาวของ “โอ๋” ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ “ตั้ม” มานานปี วางแผนขับรถขึ้นไปสร้างสุขสันต์วันเกิดให้ “ใบตอง” โดยที่ไม่รู้เลยว่าแม่ลูกสาวตัวน้อยของพ่อมีแฟนเป็นหนุ่มวิจิตรศิลป์ผมยาวอยู่ที่นั่น ซ้ำร้ายเจ้า “หนามเตย” ลูกแม่ ก็ดันหมายเอาวาระรวมญาตินี้เป็นวันเปิดเผยตัวตนเสียด้วย “ตั้ม” และ “โอ๋” จะผจญและเผชิญกับความรักลับๆ ของลูกๆ ได้ครึกครื้น เฮฮาขนาดไหน ต้องตามไปให้กำลังใจ เพราะพวกเขากลับมาแล้ว!

เพื่อนสนิท  (2548)

รายได้ : 80 ล้านบาท

กว่า 1,500 กิโลเมตร จากทิวเขาและไอหมอกในจังหวัดเชียงใหม่ สู่ไอน้ำเค็มของหมู่เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฏ์ธานี ความรักของ “ไข่ย้อย” หนุ่มนักศึกษาศิลปะ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ที่เกิดขึ้นสองครั้งสองครากับเพื่อนสองคน

ที่เชียงใหม่ “ไข่ย้อย” คือหนุ่มเมืองกรุงฯ จากโรงเรียนชายล้วนที่แสนขี้อาย เขาไม่กล้าคุยกับผู้หญิง พูดตะกุก-ตะกักทุกครั้งที่มีสาวๆ เข้ามาทัก เป็นเหตุให้ต้องคอยหลบเลี่ยงอยู่เสมอ จนกระทั่งหญิงสาวท่าทางสดใส กระฉับกระเฉงเกินมาตราฐานสาวเหนือทั่วไปเข้ามาสมัครเป็นเพื่อน เธอชื่อ “ดากานดา” ซึ่งสำหรับ “ไข่ย้อย” ช่างเป็นชื่อที่แปลก แต่มีเสน่ห์สมตัวเจ้าของเป็นที่สุด “ไข่ย้อย” แอบหลงรัก “ดากานดา” แต่ไม่เคยเอ่ยปาก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขยับเข้าใกล้มากที่สุดที่คำว่า “เพื่อนสนิท” เพราะ “ดากานดา” มีคนที่เธอรักซึ่งไม่ใช่เขา

ที่พะงัน “ไข่ย้อย” คือหนุ่มศิลป์จากเชียงใหม่ ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาเป็นคนไข้ถึงสถานีอนามัยแห่งเดียวบนเกาะ “ไข่ย้อย” พลัดตกจากดาดฟ้าเรือขาหักจากการพยายามขึ้นไปเล่นบทพระเอกมิวสิกวิดีโอ ท่ามกลางคนแปลกถิ่นหน้าเข้ม พูดจาเร็วปรื๋อ “ไข่ย้อย” ได้พยาบาลสาวตาโต ยิ้มเก่ง เป็นคนคอยดูแล เธอชื่อ “นุ้ย” ซึ่งสำหรับ “ไข่ย้อย” รอยไมตรีที่เธอจ่ายให้เขาบ่อยกว่าจ่ายยา ทำให้เขาสมัครเป็นคนไข้ไม่มีกำหนดหายอย่างเต็มใจ “ไข่ย้อย” รู้ว่า “นุ้ย” มีใจให้เขา แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยปาก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขยับเข้าใกล้มากที่สุดที่คำว่า “เพื่อนสนิท” บางทีเธอคงรู้ว่า เขามีคนที่รักซึ่งไม่ใช่เธอ ความรักของคนสามคนเกิดขึ้นสองสถานที่-สองเวลา ความรักของคนคู่ใดจะก้าวพ้นคำว่า “เพื่อนสนิท” ความรักของ “ไข่ย้อย” จะจบลงที่ไหน “ภูเขา” หรือ “ทะเล”

เด็กหอ  (2549)

รายได้ : 50 ล้านบาท

ผมยังจำครั้งแรกที่จากบ้านไปไกลได้ดี …

ผมอายุ 12 เรียน ม.1 ผมถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำอย่างฉุกละหุก สาเหตุน่ะหรือครับ ก็เพื่อที่ผมจะได้พ้นไปจากบ้าน ไกลไปเสียจากพ่อ คุณอาจจะสงสัยว่าทำไม แต่ผมไม่แปลกใจหรอก เพราะผมนี่แหละคือคนที่รู้ความลับของเขา

การต้องย้ายโรงเรียนกลางเทอมเป็นเรื่องโหดร้ายจริงๆ ไหนจะห้องเรียนใหม่ ไหนจะเรือนนอนที่ไม่สนิทใจเหมือนอยู่บ้าน ที่แย่ที่สุดคือ เตียงใหม่ของผม มันดันเป็นเตียงเก่าของคนอื่น คุณเคยนอนบนเตียงที่ไม่รู้ว่าใครเคยเป็นเจ้าของมั้ยครับ มันน่าขนลุกชะมัด

อยู่ที่นี่ผมเหงามาก ไม่ค่อยมีเพื่อน มีที่สนิทกันจริงๆ แค่คนเดียว เราสองคนชอบแอบไปเล่นที่สระเก่าหลังโรงเรียน มีเรื่องเล่าว่า หลายปีมาแล้ว ก่อนที่โรงเรียนจะสร้างสระว่ายน้ำใหม่ สระแห่งนี้เคยเป็นที่เล่นน้ำของพวกเด็กๆ ในช่วงสุดสัปดาห์ แต่ปัจจุบันสระกลับถูกปิดตาย พวกนักเรียนลือกันว่า เคยมีเด็กจมน้ำตายที่นั่น

คุณเชื่อเรื่องเล่าในโรงเรียนประจำมั้ยครับ

ผมไปรู้ความลับเข้าอย่างหนึ่ง ถ้าคุณสัญญาว่าจะไม่บอกใคร
ผมจะเล่าให้คุณฟัง …

แก๊งชะนีกับอีแอบ  (2549)

รายได้ : 49 ล้านบาท

“แฟนหนุ่มเข้ามาแล้วก็จากไป แต่เพื่อนสาวนั้นไซร้อยู่ยั้งยืนยง”

ประโยคปลุกใจแสนอมตะที่เพื่อนสาวจะใช้ปลอบประโลมใจกันในยามที่หนึ่งในพวกเธอกำลังเผชิญภาวะขาดเสถียรภาพในความสัมพันธ์ หรืออาจจะเป็นประโยคที่สาวๆ ท่องไว้เตือนใจตัวเอง ยามที่เธอต้องกลับมาใช้ชีวิตสาวโสด ออกเที่ยวเตร่กับเพื่อนสาวตามเดิม หรืออาจจะเป็นประโยคที่พูดก่อนการชนแก้วของกลุ่มเพื่อนสาวที่มาร่วมดื่มเพื่อลืมเธอในค่ำคืนหนึ่ง

… ทำไมผู้ชายถึงไม่เคยว่างเมื่อแฟนสาวพยายามโทรมาชวนเขาออกไปช็อปปิ้ง
… ทำไมผู้ชายมักมีคำพูดติดปากว่า “อะไรก็ได้” เมื่อแฟนสาวหวังพึ่งการตัดสินใจของเขา
… ทำไมผู้ชายไม่สามารถทนฟังแฟนสาวระบายปัญหาทุกข์ใจจนจบโดยไม่พูดแทรกได้
… ทำไมผู้ชายถึงพยายามทำให้แฟนสาวหยุดร้องไห้ด้วยการ … สั่ง แทนการ … กอด
… ทำไมผู้ชายคิดถึง “เซ็กส์” ทุกลมหายใจเข้า-ออก แต่เมื่อพูดถึง “รัก” กลับทำท่าเหมือนไม่อยากหายใจ

ดังนั้น การมีแฟนที่มีลักษณะตรงข้ามกับทุกข้อที่กล่าวมาจึงเป็น “Happy Ending” ที่สาวๆ ใฝ่ฝันถึง และแล้วชายหนุ่มแสนดีในฝันของสาวๆ ก็ก้าวเข้ามาในชีวิต “แป้ง” หญิงสาวผู้ค้นพบเข็มในมหาสมุทรที่เพิ่งเกิดสึนามิ

เรื่องราวน่าจะจบลงอย่างที่สาวๆ ต้องอิจฉา แต่อนิจจา … เพื่อนๆ ของ “แป้ง” กลับไม่คิดเช่นนั้น พวกเธอพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อขัดขวางแฟนหนุ่มสุดเพอร์เฟกต์คนนี้ เพราะสัญชาตญาณชะนีร้องเตือนว่าไอ้หน้าหล่อคนนี้มันเป็น “อีแอบ”

โกยเถอะโยม  (2549)

รายได้ : 70 ล้านบาท

เรื่องราวเกี่ยวกับผีเด็กเร่ร่อน (น้องพี มกจ๊ก) ที่ต้องการตามหาพ่อซึ่งไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่ด้วยความเหงาและอยากมีเพื่อน ผีเด็กจึงชอบปรากฏตัวให้ผู้คนได้เห็นอย่างซุกซน ซึ่งในการปรากฏตัวทุกครั้งได้สร้างความอลหม่านวุ่นวายและความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน จนชาวบ้านทุกคนต้องรวมพลคนกลัวผีขึ้นมาและแห่กันไปพึ่ง “หลวงพ่อ” (จตุรงค์ มกจ๊ก) เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน

เรื่องราวความน่ากลัวต่างๆ ถูกเล่าผ่านบรรดาชาวบ้านที่นำทีมโดย “เจ๊หลี” (นก วนิดา) เจ้าของร้านขายของชำที่มีลูกสาวชื่อ “กิ๊ก” (เฟิร์น) ที่ไปแอบชอบกับเด็กวัดก้นกุฏิที่ชื่อ “หรั่ง” โดยมี “กบ” (โก๊ะตี๋) เด็กวัดคู่หูที่คอยช่วยเหลือทั้งสองจากการขัดขวางความรักของ “เจ๊หลี” และตามขบวนมาด้วย “ลุงชู” (จิ้ม ชวนชื่น) ภารโรงมาดเนี๊ยบที่แอบชอบ “เจ๊หลี” จนออกนอกหน้า มาพร้อมกับ “เฮียเท๊งขายหมู” (แอนนา ม๊กจ๊ก) และชาวบ้านอีกมากมายที่ต่างเจอเรื่องวุ่นๆ และความน่ากลัวของผีเด็ก จึงมารวมตัวกันที่ศาลาวัดและเล่าเรื่องราวความหวาดกลัวเหล่านั้นด้วยมุขตลกต่างๆ และร่วมกันคิดหาวิธีกำจัดผีเด็ก สุดท้ายทุกคนจึงตัดสินใจที่จะเผชิญหน้ากับผีเด็ก

Seasons Change : เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย  (2549)

รายได้ : 71.8 ล้านบาท

ปลายฤดูหนาว … หลังเรียนจบ ม. 3 “ป้อม” ตัดสินใจสอบเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล โรงเรียนที่สอนดนตรีเป็นวิชาชีพตั้งแต่ชั้น ม.ปลาย … เพราะความรัก … แต่ไม่ใช่เพราะรักดนตรีหรอก มันรักผู้หญิงต่างหาก

เธอชื่อ “ดาว” … สวย เรียบร้อย เรียนเก่ง เป็นที่หมายปองของหนุ่ม ๆ ทั้งโรงเรียน รวมถึง “ไอ้ป้อม” ด้วย มันได้แต่แอบมองเธอห่างๆ มาตลอด 3 ปี พอรู้ว่า “ดาว” มาสอบเข้าที่นี่ก็เลยตามมา ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักโรงเรียนนี้มาก่อนด้วยซ้ำ

แล้ว “ป้อม” ก็สอบติด! ด้วยพรสวรรค์การตีกลองระดับอัจฉริยะที่พระเจ้าประทานมาให้ ทดแทนความไม่เอาไหนในเรื่องอื่นๆ ของมัน

แต่เรื่องเริ่มวุ่นวายเอาตรงที่พ่อกับแม่ดันเข้าใจผิดว่าลูกชายสอบติด “เตรียมหมอ” “ป้อม” ก็เลยต้องปิดเรื่องโรงเรียนเป็นความลับไปพร้อมๆ กับเรียนรู้โลกใบใหม่ที่แสนสนุก เพราะที่นี่เน้นหนักเรื่องดนตรีที่มันถนัดล้วนๆ ถึง 70% ส่วนที่เหลือถึงจะเป็นวิชาสามัญจำพวกเลข วิทย์ อังกฤษ ภาษาไทย ฯลฯ ที่เคยเป็นยาขมมาก่อน

แล้วจู่ๆ “ไอ้ป้อม” ก็ดันทิ้งพรสวรรค์ด้านการตีกลองชุดไปสมัครเข้าวงออเคสตรา เพื่อหาทางใกล้ชิดกับ “ดาว” ที่เป็นนักไวโอลินมือหนึ่งอยู่ในนั้น … แม้นานๆ ทีถึงจะได้ตีกลองทิมปะนีสักแปะ แต่แค่นี้ก็มีความสุขแล้วกับการได้อยู่ใกล้ผู้หญิงที่ตัวเองแอบรักเข้าไปอีกนิด

… แต่ผ่านฤดูฝนเข้าไปแล้ว ความสัมพันธ์กับ “ดาว” ก็ยังไม่คืบหน้าไปถึงไหน ในขณะที่ความเอาจริงเอาจังของ “อ้อม” เพื่อนซี้ที่นั่งตีฉาบอยู่ข้างๆ กลับทำให้ “ป้อม” เริ่มสนใจดนตรีคลาสสิกขึ้นมาทีละนิด เธอคนนี้น่ะสอบเข้ามาด้วยคะแนนทฤษฎีที่เป็นอันดับหนึ่ง แต่ฝีมือเล่นดนตรีกลับไม่เอาไหน จนอาจารย์ต้องเลื่อนให้มานั่งตีฉาบอยู่ข้างๆ “ไอ้ป้อม”

แล้ววันหนึ่ง “ดาว” ก็หล่นจากฟ้ามาชวนให้ “ป้อม” สอบชิงทุนไปเรียนต่อเมืองนอกด้วยกัน นั่นแปลว่า “ป้อม” ต้องกลับไปฟื้นฟูพรสวรรค์ด้านดนตรีสากลของตัวเองขึ้นมาใหม่

เมื่อฤดูหนาวเวียนกลับมาอีกครั้ง ในขณะที่เรื่องโรงเรียนก็ยังเป็นความลับกับที่บ้าน และถึงเวลาที่ “ป้อม” ต้องตัดสินใจ … ระหว่าง “ดาว” กับ “อ้อม” … ระหว่าง “ดนตรีสากล” กับ “ดนตรีคลาสสิก” “ไอ้ป้อม” ที่เคยใช้หัวใจเลือกทางเดินให้ชีวิตตัวเองมาตลอด ชักเริ่มมีปัญหา

… เพราะไม่แน่ใจหัวใจตัวเองจะเปลี่ยนแปลงเหมือนอากาศหรือเปล่า?

หมากเตะรีเทิร์น  (2549)

รายได้ : 10 ล้านบาท

“กุนซือพงศ์นรินทร์ อุลิศ” โค้ชหนุ่มไฟแรงผู้ฝันอยากเห็นทีมไทยไปบอลโลก ยังคงไม่ได้รับโอกาสจากสมาพันธ์ฟุตบอลไทย ร้อนถึง “เจ๊มิ่ง” น้าสาวบ้าหวยรวยบอลแฟนพันธุ์แท้ทีมไทย แกประกาศลั่นถ้าถูกรางวัลที่ 1 จะทุ่มสปอนเซอร์ให้หลานรักพาบอลไทยไปตะลุยบอลโลกให้จงได้ แล้วชะตาก็ลิขิตให้ชีวิตสองน้าหลานผันผวน เมื่อ “เจ๊มิ่ง” ดันถูกล็อตเตอรีชุดใหญ่จังเบอร์ 192 ล้านบาท! แต่สมาพันธ์กลับพลิกลิ้นแต่งตั้งโค้ชบราซิล อ้างเสียบเพื่อชาติ “เจ๊มิ่ง” ยัวะจัดจูงมือหลานชายบินลัดฟ้าสู่ประเทศอาวี ลั่นวาจาคราวนี้แหละอาวีจะไปบอลโลก

“ราชรัฐอาวี” ตั้งอยู่ในทะเลจีนใต้ ส่งออกหอยลาย ดำเนินนโยบายเป็นกลาง “อาวี” เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรราวแสนคน แต่ติดหนึ่งในสิบประเทศที่คลั่งไคล้ลูกหนังมากที่สุดจากการจัดอันดับประจำปี ค.ศ. 2006 ทีมฟุตบอลของพวกเขาถือเป็นสมันน้อยของโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พกสถิติแจกแต้มแหลกไม่เคยชนะทีมใดเลยในการแข่งขันระดับชาติ แต่เด็กๆ ชาวอาวีก็เช่นเดียวกับเด็กๆ ทั่วโลก นั่นคือ ฝันอยากเห็นทีมชาติตัวเองลงเตะในมหกรรมระดับโลกนี้สักครั้ง

เก๋า เก๋า  (2549)

รายได้ : 35 ล้านบาท

พ.ศ. 2512 กรุงเทพฯ ในยุคที่หนุ่มสาววัยทีนเมามายกับแสงไฟดิสโก้ยามค่ำคืน การปรากฎตัวของวงสตริงเครื่องเป่า ผู้ประกาศตัวเป็นคณะปฎิวัติแห่งเสียงเพลงได้พลิกโฉมหน้าวงการไปชนิดที่ไม่มีใครคิดว่าจะ … เป็นไปได้

“Possible” คือวงสตริงคอมโบที่จุดระเบิดความฮิตไปทุกหัวระแหง คอนเสิร์ตของพวกเขามีอานุภาพรุนแรงขนาดปลุกวัยรุ่นให้ลุกจากเตียงเพื่อไปฟังเพลงได้ตั้งแต่ตีสี่ “ต๋อย” (โจอี้ บอย) นักร้องนำ มีฝีไม้ลายมือในการแปลงเพลงระดับเทพ เพลงฝรั่งไม่ว่าเจ๋งแค่ไหน “ต๋อย” บิดเป็นเนื้อไทยได้แจ๋วกว่า

สมาชิกในวงไม่ว่า “โบ้” (โป้ โยคี เพลย์บอย) มือกีต้าร์ “สอง” (สอง พาราด็อกซ์) มือเบส “น๊อต” (ยุทธนา) มือคีย์บอร์ด และ “เบ๊” (โบ โอโซน – ดีเจ EFM.) มือกลอง ต่างเอ็นจอยกับชีวิตซุปเปอร์สตาร์นิสัยเสียไปวันๆ

“Possible” ถือมติไม่ซ้อม มาสาย เมาเหล้า มั่วคิวและหม้อหญิง โอ้! ชีวิตอะไรมันจะน่าอิจฉาขนาดนี้ พวกเขากำลังจะได้เข้าอัดแผ่นเสียงเพื่อบัญญัติความดังไว้เป็นอมตะ “Possible” จึงหยิ่งผยองในความเป็นหนึ่งและ ’รมณ์เสียสุดๆ ที่มีวงน้องใหม่ชื่อ “The Impossible” ผุดขึ้นมาแย่งความสนใจ

กระทั่งวันหนึ่ง “Possible” ได้รับไมค์เด็กเล่นเป็นของขวัญจากแฟนเพลงลึกลับ “ต๋อย” และเพื่อนๆ สมาชิกหัวเราะให้กับไอเดียบรรเจิดนี้อย่างสนุกสนานและถือมันติดมือขึ้นเวทีไปด้วย แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ในคอนเสิร์ตเปิดโรงหนัง “พระโขนงซีเนม่า” ไมค์สีชมพูหวานจ๋อยอันนั้นส่ง “Possible” วาร์ปข้ามเวลามาปี พ.ศ. 2549 !

พ.ศ.ที่วัยโจ๋อินกับ “พี่ตูน” ขาเดฟ คลั่งฮิปฮอป “บุดดาเบสต์” กรี๊ด “พี่เบิร์ด ธงไชย” วิลเลจ

พ.ศ. ที่ดนตรีสตริงคอมโบกลายเป็นไดโนเสาร์ และวง “Possible” สุดมะ มีค่าเท่ากับวงบ่อจี๊ที่ไม่มีใครรู้จัก กรุงเทพฯ ไม่ใช่ที่ทางของพวกเขาอีกต่อไป “Possible” ต้องรีบหาทางกลับอดีตด่วนจี๋ และวิธีนั้นมีทางเดียวพวกเขาจะต้องระดมแฟนเพลงมารวมตัวกันเล่นดนตรีเพื่อจุดพลังให้ไมค์ทำงานอีกครั้ง

แต่ในเมื่อปัจจุบันเทคนิคการแปลงเพลงอันเอกอุกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ ซ้ำร้าย “Possible” ยังถูกตราหน้าว่าเป็น “The Impossible” เวอร์ชั่นแผ่นผีเข้าไปอีก แล้วจะให้ “Possible” เปิดคอนเสิร์ต? มันจะ … เป็นไปได้เหรอเนี่ย!

Final Score : 365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์  (2550)

รายได้ : 25 ล้านบาท

ปี พ.ศ. 2549 ปีนี้ไม่เหมือนปีไหนๆ เพราะมันเป็นปีที่ปฏิทินการเมืองร้อนระอุด้วยม็อบกู้ชาติ
ปีที่ใครๆ ก็ถามไถ่ “ไปพารากอนมารึยัง?” ปีที่ขวัญและกำลังใจของนักเรียน ม.6 แหลกสลาย เมื่อพระพรหมเอราวัณถูกทุบทำลาย ที่สำคัญมันเป็นปีแรกของการประกาศใช้ระบบ “แอดมิชชั่นส์” ที่ไม่เกี่ยวอะไรทั้งสิ้นกับการ “แอดมิด” เข้าโรงพยาบาล

ปีนี้ … วัยรุ่นไทยวัย 17 ที่อยากเอ็นทรานซ์ต้องสอบ “โอเน็ต-เอเน็ต”

สดจากโรงเรียน กองถ่ายภาพยนตร์สุดอึดจาก “GTH” ทุ่มเทเวลา 1 ปีเต็มเฝ้าติดตามชีวิตของนักเรียน ม.6 จำนวน 4 คน ในปีที่พวกเขาก้าวเข้าสู่สนามการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต โดยไม่รู้ว่าพระเจ้าจะดลบันดาลใจให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

หลากหลายความฝัน หวัง และ ลุ้น ของเด็กอายุ 17 ชีวิตของทีมงานกลับถูกลิขิตโดยเด็กอายุ 17 จันทร์-ศุกร์ ต้องไปโรงเรียน เสาร์-อาทิตย์ พาพ่อแม่ไปช็อปปิ้ง โดยเฉพาะเมื่อการตรวจคะแนนของ “โอเน็ต-เอเน็ต” ประสบปัญหา … โอ้ละหนอ “โอเน็ต-เอเน็ต” เมื่อไหร่คะแนนเจ้าจะฟันธงออกมา

อยากปิดกล้องแล้วโว้ย!

แต่ละปีเด็ก ม.6 ทั่วประเทศกว่า 200,000 คน ยื่นใบสมัครสอบเอ็นทรานซ์ จากจำนวนนี้ 160,000 คนคือ ผู้ผิดหวัง!

4 คน ในจำนวนนี้ เข้าสอบเอ็นทรานซ์ด้วยระบบ “โอเน็ต-เอเน็ต” ชีวิตเอ็นทรานซ์ของพวกเขาจะผิดหวังหรือไม่ ตามติดชีวิตการเตรียมตัวสอบ 365 วัน ต่อจากนี้ แบบไม่มีวันหยุด เพื่อเฝ้าดูช่วงเวลาสำคัญ ไม่มีใครรู้ผลลัพธ์สุดท้ายว่าจะเป็นอย่างไร

เด็กเอ็นท์หมายเลข 1 : สุวิกรม อัมระนันทน์ (นายเปอร์)
เป้าหมายคณะที่อยากเอ็นทรานซ์ : คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโยธา
ผลเอ็นทรานซ์ :…?

เด็กเอ็นท์หมายเลข 2 : วรภัทร จิตต์แก้ว (นายลุง)
เป้าหมายคณะที่อยากเอ็นทรานซ์ : คณะนิเทศศาสตร์
ผลเอ็นทรานซ์ : …?

เด็กเอ็นท์หมายเลข 3 : กิตติพงศ์ วิจิตรจรัสสกุล (เพื่อนเรียกนายบิ๊กโชว์)
เป้าหมายคณะที่อยากเอ็นทรานซ์ : คณะวิศวกรรมศาสตร์
ผลเอ็นทรานซ์ : …?

เด็กเอ็นท์หมายเลข 4 : สราวุฒิ ปัญญาธีระ (นายโบ๊ท)
เป้าหมายคณะที่อยากเอ็นทรานซ์ : ใจจริงอยากเข้าคณะประมง เพราะเป็นคณะที่ใฝ่ฝัน
แต่ไม่กล้าตัดสินใจเพราะกลัวครอบครัวไม่สนับสนุน เนื่องจากครอบครัวอยากให้เรียนบัญชี
ผลเอ็นทรานซ์ : …?

แฝด  (2550)

รายได้ : 67.5 ล้านบาท

เราสัญญาว่า … จะไม่แยกจากกัน

หลัง “พลอย” ตาย “พิม” เลือกที่จะทิ้งความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดไว้เบื้องหลังแล้วหนีไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่เกาหลี ชีวิตของ “พิม” คงดำเนินต่อไปอย่างมีความสุขกับผู้ชายที่เธอเลือก ถ้าเสียงโทรศัพท์ในกลางดึกคืนหนึ่งจะไม่ดึงให้เธอต้องหวนกลับมาพบความหลังที่เธอทั้งผูกพันและกลัวสุดขั้วหัวใจ

ข่าวจากเมืองไทยแจ้งว่าแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุ “พิม” จึงรีบเดินทางกลับเมืองไทย แต่ทันทีที่เธอเหยียบย่างกลับเข้าบ้านหลังเก่า ความทรงจำในอดีตที่เธอแกล้งลืมมันไปก็ย้อนคืนมา “พิม” กับ “พลอย” เป็นแฝดสยาม!

“พิม” ยังจำวันที่เธอต้อง “เชื่อมติด” กับ “พลอย” ด้วยก้อนเนื้ออัปลักษณ์ที่พันธนาการพวกเธอไว้ด้วยกันได้ดี เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น “พิม” เริ่มอึดอัดกับสภาพกึ่งตัวประหลาดนั่นทำให้เธอร่ำร้องขอเข้ารับการผ่าตัดแยก แม้ “พลอย” จะต่อต้านสุดชีวิต แต่การผ่าตัดเพื่อปลดทั้งคู่ออกจากกันก็เกิดขึ้น และผลของมันก็เลวร้ายสุดทน

ในบ้านหลังเดิมที่ “พิม” เคยอาศัยสมัยเด็ก ข้าวของทุกอย่างของ “พิม” และ “พลอย” ยังคงแน่นิ่งอยู่ในที่ของมัน รองเท้าเด็กสองคู่ ตุ๊กตาสองตัว เสื้อผ้าชุดติดกัน เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งไม่ไหลผ่านไป “พิม” เริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเก่าๆ อีกครั้ง ความรู้สึกคล้ายมีคนอยู่ข้างกายตลอดเวลา ทุกลมหายใจ

คงจะดีกว่าถ้า “พลอย” จะเกลียด “พิม” ซะจนไม่อยากกลับมาอยู่ข้างๆ ตัว “พิม” เหมือนเดิม ทว่า … “พลอย” ยังคงอยู่ที่นี่ รอเธอและโกรธเธอ หรือกระทั่งความตายก็ไม่อาจ “แยก” “พลอย” จาก “พิม”

ตั๊ดสู้ฟุด  (2550)

รายได้ : 80 ล้านบาท

เกาะฮ่องกง ปีใด พ.ศ.ใด นั้นไม่แน่ใจ เพราะเรื่องนี้ผู้กำกับโม้ขึ้นมาเอง รู้แต่ว่าฮ่องกงขณะนั้นเป็นยุคที่มาเฟียเกลื่อนเมือง ผู้คนแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นก๊ก-เป็นแก๊ง การใช้กำลังและความรุนแรงระบาดไปทุกหย่อมหญ้า เจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้แต่อิดหนาระอาใจกับอิทธิพลของอันธพาลในร่างพ่อค้า ธุรกิจการค้าขายทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายถูกกุมอำนาจไว้โดยคนเพียงสามกลุ่ม นั่นคือ

“แก๊งตรอกโรงเจ” คุมบ่อนไพ่นกกระจอก กำถั่วและเต๋าปั่น มี “อาเฟย” (จตุรงค์ มกจ๊ก) เจ้าพ่อขาโหดที่ชอบกินแตงโมเป็นชีวิตจิตใจเป็นหัวหน้าแก๊ง

“แก๊งประตูผี” คุมกิจการร้านเหล้าและหอนางโลมทั้งหมด มี “เสิ่นปอ” (อาเกรียง – เกรียงศักดิ์ เหรียญทอง) เจ้าพ่อผู้มีลูกสาวสวยผิดพันธุกรรมเป็นหัวหน้าแก๊ง

“แก๊งมังกรทอง” คุมตลาดทั้งน้อยใหญ่ มี “หม่าหย่งให่” (จิ้ม ชวนชื่น) เจ้าพ่อชราที่กำลังทุกข์ทรมานด้วยโรคอัลไซเมอร์เป็นหัวหน้าแก๊ง

แม้แต่ละแก๊งจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในแฟรนไชส์ของตน แต่อนิจจาเจ้าพ่อทั้งสามแก๊งกลับไม่สมานฉันท์ ไม่รู้รักสามัคคี วันๆ เอาแต่คิดฮุบกิจการคู่แข่งเพื่อขึ้นเป็นใหญ่เพียงผู้เดียว การปะทะกันครั้งใหญ่จึงรอวันระเบิดอยู่มิไกล

ในการฟัดกันครั้งล่าสุด “อาเต๋า” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “หม่าหย่งให่” โดนศัตรูต่างแก๊งฟันจนแขนขาด ร้อนถึง “อาคุน” (นุ้ย เชิญยิ้ม) พ่อบ้านแห่งบ้านสกุลหม่า ต้องออกตามหา “อาเทียน” (บอย – สิทธิชัย ผาบชมภู บอย AF3) น้องชายฝาแฝดของ “อาเต๋า” ที่แม่หอบหนีไปตั้งแต่ยังแบเบาะให้กลับมาสืบทอดแก๊งมังกรทอง

เรื่องราวคงไม่วุ่นวาย ถ้า “อาเทียน” ไม่ได้เป็น “ตุ๊ด” !

“อาเทียน” กับแม่ต้องออกมาตกระกำลำบากเพียงลำพังเพราะ “หม่าหย่งให่” รับไม่ได้ที่ลูกชายคนเล็กเป็นตุ๊ด สองแม่ลูกเลี้ยงชีพด้วยการเปิดคณะเชิดสิงโต “คุณนายหม่า” หรือชื่อในยุทธจักรคือ “นางพญาเก็บไชเท้า” ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชา “มวยนารี” ซึ่งประกอบไปด้วย 10 กระบวนท่ากำจัดจุดอ่อนลูกผู้ชาย ให้แก่ “อาเทียน” เอาไว้ป้องกันตัวยามถูกย่ำยี เอ้ย! รังแก

“อาเทียน” หรือ “นังเทียน” ในหมู่เพื่อนสาว “ซัน” “เคทรี” “เบน” ยอมสวมรอยทำตัวแมนแทน “อาเต๋า” เพื่อรอวันขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าแก๊งมังกรทอง ลำพังทำตัวแมนก็ฝืนจริตจะแย่ ยังต้องมาทำใจให้รักชะนีสาวอย่าง “เพ่ย เพ่ย” (จิ๊บ – ปกฉัตร เทียมชัย) ลูกสาว “เสิ่นปอ” คู่รักข้ามแก๊งของ “อาเต๋า” อีก ยิ่งสร้างความปวดแก่นให้แก่ “อาเทียน” เป็นอันมาก ตุ๊ดธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไหนเลยต้องมาแบกรับความรับผิดอันใหญ่ยิ่งเช่นนี้

ไหนจะความลับที่ต้องปกปิด ไหนจะศัตรูที่คอยบ่อนทำลายแก๊ง ไหนจะความรักที่ต้องฝืนใจ ไหนจะลูกน้องหนุ่มๆ ที่ต้องหักห้ามอารมณ์ ไหนจะผิวเสีย กล้ามขึ้น ฯลฯ

… โอ๊ย “เทียน” เครียด “เทียน” อึดอัด “เทียน” กดดัน !!

แต่เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ เกิดเป็นตุ๊ดทั้งทีมันก็ต้องสู้ และเมื่อตุ๊ดอย่าง “เทียน” รู้จักสู้คน มันจึงก่อเกิดเป็นตำนาน … “ตุ๊ดสู้ฟัด” … “ตั๊ดสู้ฟุด”

สายลับจับบ้านเล็ก  (2550)

รายได้ : 70 ล้านบาท

กฎเหล็กประจำใจ “นักสืบบ้านเล็ก!!”

• ห้ามทำงานให้บ้านเล็ก
• ห้ามหลงเสน่ห์เป้าหมาย
• ห้ามแบล็คเมล์ผู้ว่าจ้างและเป้าหมายโดยเด็ดขาด

เบื้องหลังกิจการซ่อมทีวีที่เปิดไว้บังหน้า “จ๊อก” (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) เป็นนักสืบมือใหม่หน้าละอ่อนที่มีจุดขายไม่เหมือนใครในย่านรามคำแหง คนอื่นสืบหนี้ สืบหมาหนี สืบคนหาย แต่ “จ๊อก” สืบ “บ้านเล็ก”!!

เปล่า “จ๊อก” ไม่ได้ฝันอยากเห็นครอบครัวใครๆ สงบสุข ไม่ได้อยากผดุงคุณธรรม แต่ “จ๊อก” กำลังร้อนเงินสาหัสเพราะอุตริออกไอเดียบรรเจิดเปิดร้านหมูกระทะพลังแสงอาทิตย์ ตอนหน้าฝน ผลคือเจ๊งตูดบาน โดนแก๊งทหารนอกราชการตามทวงหนี้ยิกๆ “จ๊อก” จึงต้องผันตัวเองมาเป็นนักไล่จับบ้านเล็ก-บ้านใหญ่ โดยมี “ไอ้แจ๊ค” (แจ๊ค-เฉลิมพล) เด็กร้านซ่อมมอไซค์ที่เข้าใจว่า “จ๊อก” เป็นนักสืบชื่อดัง กับ “ฤทัย” (โอปอล์–ปณิสรา) เจ๊ร้านคาราโอเกะที่ชอบมาแทะโลม “จ๊อก” คอยเป็น “ตัวช่วย” ยามจำเป็น แม้จะรู้ดีว่าอาชีพนักจับบ้านเล็กมันขัดกับนิสัยใจละลายเป็นช็อกโกแล็ตตากแดดเวลาเห็นผู้หญิงสวยๆ ของตัวเองชะมัด แล้วไม่รู้ทำไมน้องหนูบ้านเล็ก 99.99 เปอร์เซ็นต์ ต้องหน้าใสกิ๊ง ดีดดิ้น เร้าใจ ขนาดทำให้ผู้ชายเห็นช้างตัวเท่าหมู เห็นเรื่องหนี้เป็นเรื่องขี้ๆ ทุกที

ความจริงข้อนี้ถือเป็นด่านหินสำหรับ “จ๊อก” ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติงาน โดยเฉพาะคดีล่าสุด เล่นเอา “จ๊อก” สมองระบม เรื่องมันเริ่มจาก “คุณนายอรัญญา” (จิ๊บ-จารุภัส) ผู้ว่าจ้างรายใหม่เสนอเงินก้อนโตให้ “จ๊อก” ตามจับพฤติกรรมหัวงูของ “สารวัตรวศิน” (ปั๋ง-ประกาศิต) สามีจอมชิ่งที่ไปติดพันพริตตี้สาวชื่อเสียวฟันว่า “น้องน้ำปั่น” (พีค-ภัทรศยา) ใครจะไปรู้ว่า “น้องน้ำปั่น” เป้าหมายตัวดีดันแอบมีกิ๊กเป็น “เสี่ยอดิสรณ์” (สุเมธ องอาจ) เสี่ยเต็นท์รถรายใหญ่อยู่อีกคน

คดีส่อเค้ายุ่งเหยิงยิ่งขึ้น เมื่อ “คุณหญิงสุวิมล” (ท็อป-ดารณีนุช) ภรรยาไฮซ้อของ “เสี่ยอดิสรณ์” จ้าง “สุทิน” (นิมิต ลักษมีพงศ์) นักสืบมือโหดมาตามแบล็กเมล์ “น้ำปั่น” อีกต่อหนึ่ง “จ๊อก” ตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยเพราะนอกจากค่าจ้างกับโบนัสจะล่อใจแล้ว งานนี้ยังถือเป็นการวัดฝีมือกันระหว่าง “สุทิน” นักสืบอุปกรณ์ไฮเทคฯ กับ “จ๊อก” นักสืบบ้าแก๊ตเจ็ตบ้านหม้อ ที่โคจรมาทับเส้นกันโดยบังเอิญ

ทั้งๆ ที่คดีนี้มันสุดเสี่ยงต่อการแหกกฎเหล็ก “ห้ามหลงรักเป้าหมาย” แค่ไหน แต่ “จ๊อก” ก็อดใจไม่ไหวต้องโดดเข้าใส่ ราวกับคนหลงทางกลางทะเลทรายเจอน้ำแข็งใสใส่แก้วมาวางยั่ว … ก็นั่นดิ นักสืบหัวใจอ่อนไหวอย่าง “จ๊อก” นะหรือจะทานเสน่ห์ “น้ำปั่น” แก้วนี้ไหว
ก็แค่ชื่อ แม่คุณยังน่าดูดปรื้ดเดียวให้เย็นจี๊ดถึงสมอง!

บอดี้ ศพ#19  (2550)

รายได้ : 30 ล้านบาท

“ชล” (เป้-อารักษ์ อมรศุภสิริ) ไม่ได้นอนมาแล้วเกือบอาทิตย์ เขาไม่อยาก ไม่กล้าและไม่อาจข่มตานอน เพราะยามใดก็ตามที่เผลอหลับตา “ชล” จะฝันเห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม เขาไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร จำได้แค่ว่าเขาเคยสบตาผู้หญิงแปลกหน้าคนนี้โดยบังเอิญครั้งหนึ่งในร้านอาหาร ในฝันเธอกรีดร้องให้เขาทำอะไรบางอย่าง … และเขาคงไม่มีวันหยุดฝันร้าย ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของเธอ

อาการของ “ชล” ทำให้ “เอ๋” (อรจิรา แหลมวิไล) พี่สาวซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ฝึกหัดบังคับให้เขาเข้ารับการบำบัด “ชล” เล่าให้ “อุษา” (เข็ม-กฤตธีรา อินพรวิจิตร) จิตแพทย์ของเขาฟังว่า ทุกครั้งที่ฝันเขาจะรู้สึกเหมือนตัวเองตกเป็นเหยื่อฆาตกรรมเสียเอง สัมผัสในวินาทีที่อวัยวะโดนทิ่มแทง แรงกระตุกของลมหายใจเมื่อวิญญาณหลุดร่าง ความทรงจำอันเจ็บปวดค่อยๆ ชำแรกเข้าครอบงำสมองของ “ชล” … หรือเขากำลังจะบ้า

ด้วยร่องรอยเพียงน้อยนิดของผู้หญิงในฝัน มันนำ “ชล” ไปสู่ตู้เก็บศพหมายเลข 19 “ชล” พยายามจะพิสูจน์กับ “เอ๋” ว่า เขาไม่ได้บ้าไปเอง และความลับในตู้ใบนั้นเท่านั้นที่จะยืนยันได้ ในขณะที่ “อุษา” ยิ่งรักษา “ชล” นานเข้า เธอก็เริ่มสงสัยว่า “ชล” อาจเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัว นับแต่เขาก้าวเข้ามาเป็นคนไข้ของเธอ

ภายในตู้หมายเลข 19 ร่างไร้วิญญาณร่างหนึ่งนอนอยู่อย่างโดดเดี่ยวในที่ที่ทั้งแคบ มืดมิดและหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจ เธอกำลังร่ำร้องหาใครบางคน …ด้วยความคิดถึง แต่มันเป็นความคิดถึงที่คุกรุ่นไปด้วยแรงแค้น แค้นที่ต้องมานอนอยู่ในตู้ใบนี้คนเดียว

เธอกำลังกระซิบผ่าน “ชล” ไปยังใครคนนั้นว่า
“กูคิดถึงมึง …”

กอด  (2551)

รายได้ : 10 ล้านบาท

ที่อำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่ไร้ซึ่งความสลักสำคัญระดับชาติ เป็นบ้านเกิดของ “ขวาน” (ตุ้ย AF3) ลูกชายเจ้าของร้านผัดไท คนที่ได้ชื่อว่าเป็น “เดอะ สเปเชี่ยน” ของหมู่บ้าน คนที่ใครๆ ต้องรู้จัก “ขวาน” เด็กชายผู้มีแขนซ้ายสองข้าง!

“ขวาน” เป็นเด็กไม่ธรรมดามาตั้งแต่เกิด ด้วยแขนซ้ายทั้งสองบวกกับแขนขวาอีกหนึ่ง เขาเก่งกว่าเด็กทั่วไปสารพัด เช่น ทำการบ้านคัดไทยได้ทีละสองหน้า กระโดดตบวอลเลย์ได้ครั้งละสองลูก ลบกระดานดำไวสุดในชั้น แปรงฟันไปล้าง-หน้าไป “ขวาน” คิดเสมอว่าการที่เขาสามารถใช้สองมือกินขนม ส่วนอีกมือแคะขี้มูกไปด้วยโดยไม่ต้องกลัวเลอะ เป็นพรวิเศษเฉพาะตัว เขาเชื่ออย่างที่แม่เคยหอมแก้มแล้วกระซิบที่ข้างหูว่า “ขวาน” คือคน “พิเศษ”

“โกหกทั้งเพ” คำพูดสวยหรูทั้งหมด มันเป็นแค่สิ่งที่แม่หลอกเขา แม่คงให้หมอตัดแขนเขาทิ้งไปแล้ว ถ้าไม่กลัวเขาจะเสียเลือดจนตาย เพราะแขนซ้ายเจ้ากรรมดันมีเส้นเลือดโยงเข้าสู่หัวใจ เมื่อแม่ตาย “ขวาน” ยิ่งตระหนักว่าเขาไม่ใช่คนพิเศษ แต่เป็นตัวประหลาดในสายตาคนทั้งหมู่บ้าน …

แฟนที่คบกันมานานก็บอกเลิก เพราะทำใจเรื่อง “ไอ้นั่น” ไม่ได้จริงๆ แถมช่างตัดเสื้อประจำตัวก็มาด่วนตายไปซะอีก นั่นหมายความว่านับแต่วินาทีนี้ไป เขาจะไม่มีเสื้อใส่!

“ขวาน” ตัดสินใจแล้ว “ช่างแม่” “ช่างเส้นเลือดใหญ่”
เขาจะไปกรุงเทพฯ ไปผ่าตัดความ “พิเศษ” ออก

ระหว่างการเดินทาง “ขวาน” สวมบทฮีโร่ช่วยผู้หญิงที่กำลังจะโดนปล้ำคนหนึ่งไว้ เธอชื่อ “นา” (กระแต-ศุภักษร) กำลังจะไปตามหาผัวที่กรุงเทพฯ ในเมื่อเธอกับเขามีปลายทางร่วมกัน “นา” จึงกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทางจำเป็นของ “ขวาน” แล้วการเดินทางที่ไม่ธรรมดาของคนสองคนกับแขนห้าข้างก็เริ่มต้นขึ้น “ขวาน” รู้สึกคล้ายเป็นคนพิเศษขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เพราะแขน

หากแต่เป็นความพิเศษที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่เต้นรัวอยู่ในอกด้านซ้ายของเขาเอง

ปิดเทอมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น  (2551)

รายได้ : 80 ล้านบาท

“ปิดเทอมแล้วโว้ยยยย”

ด้วยต้นทุนความหล่อที่พ่อให้มาอย่างพอเพียง “พุ” และ “ไม้” จึงเข้าข่ายหล่อเลือกได้ เกมที่ฮิตที่สุดของพวกมันในช่วงปิดเทอม คือ แข่งขอเบอร์หญิง ทุกฤดูอำลา-อาลัย สองหล่อจะแท็กทีมกันกลายร่างเป็นสมุดเฟรนด์ชิพให้สาวๆ ม.6 มารุมฝากเบอร์ ดาวโรงเรียน “พุ” และ “ไม้” ก็สอยเบอร์มาเมมชนิดเหงื่อไม่หยด จนกระทั่งการมาถึงของเพื่อนเก่าสมัยอนุบาลที่ชื่อ “นานา” ยัยคนนี้เองที่ทำให้ “พุ” และ “ไม้” ถึงกับขอแตกคอกันชั่วคราว “พุ” วันคู่ “ไม้” วันคี่ แฟร์ๆ คนละวัน ใครจีบเบอร์ “นานา” ได้ก่อนชนะ!

“กรี๊ดดดดดดดดดดดด”

นอกจากร้านซีดีเอเชียแล้ว “โอ๋เล็ก” มั่นใจว่าคอลเล็กชั่น “ตี้ตี้” ของแฟนคลับนัมเบอร์วันอย่างเธอไม่เป็นสองรองใคร ซีดีทุกแผ่น-ทุกเพลง “โอ๋เล็ก” ท่องได้ขึ้นใจ แม้เธอจะไม่กระดิกสักนิดว่าคำจีนที่เธอร้องปาวๆ เป็นภาษาคาราโอเกะนั้นมันแปลว่าอะไร ความจริงข้อนี้เองที่ทำให้ “โอ๋เล็ก” ขัดใจ ก่อนวันคอนเสิร์ตครั้งแรกในเมืองไทยหน้าร้อนนี้ เธอจะต้องซาบซึ้งในเนื้อเพลงของ “ตี้ตี้” ให้จงได้ … “โอ๋เล็ก” ลงทุนไปสมัครเรียนภาษาที่วัดจีน เพื่อการร้องเพลง “ตี้ตี้” แบบอินๆ !

“หากคุณรักใครสักคน You say it, you say it right then, out loud”

“โจ้” เริ่มภารกิจเฉลยความนัยกับ “ซี” อย่างที่ตั้งใจ แผนหนึ่งชวนดูหนัง แผนสองหลุดความในใจ แผนสามเซอร์ไพร์สเพื่อคนที่คุณรัก แผนสี่ประกาศให้โลกรู้ “โจ้” ทึกทักเอาเองว่าวีรกรรมที่มันเพียรพยายามทำเพื่อ “ซี” นั้น คือ ความหวาน โดยไม่เฉลียวใจเลยว่า สาวเจ้าจะรู้สึกว่ามัน “เลี่ยน” … และยิ่งนานวัน “ซี” จะเริ่มแปลการกระทำของ “โจ้” ว่า “ยัดเยียด!”

“ไปตรังระวังปลาตอดนะจ๊ะ”

เมื่อ “นวล” ไปฝึกงานไกลถึงตรัง จะเตะบอล ดูหนังเอวี หรือเที่ยวผับ อะไรมันก็งั้นๆ ไปหมดในความรู้สึกของ “เหิร” เขาตัดสินใจโดดขึ้นรถไฟไปเซอร์ไพร์ส “นวล” ก่อนวันนัดฉลองครบรอบสามปีที่เป็นแฟนกัน แต่โชคร้ายเกิดอุบัติเหตุขึ้น! บนรถไฟสายใต้ “เหิร” ชนเข้ากับ “อาโออิ” สาวญี่ปุ่น ขาว สวย เอ็กซ์ตามสเป็กนางเอกหนังเอวีในดวงใจ “อาโออิ” มาเที่ยวฟูลมูนปาร์ตี้คนเดียว เธอจึงชวน “เหิร” ไปเป็นเพื่อน แทนที่จะไปตรัง “เหิร” จึงไถลไปพะงันกับสาวยุ่นคนนั้นซะฉิบ!

สี่แพร่ง  (2551)

รายได้ : 85 ล้านบาท

ความกลัวมีหลายรูปแบบ … กลัวเมื่อได้รับข้อความจาก “คนตาย” กลัวเมื่อต้องโดน “คนตาย” เอาคืน กลัวเมื่อต้องนอนติดกับ “คนตาย” และกลัวเมื่อต้องร่วมเดินทางไปกับ “ศพ” คุณจะทำอย่างไร ?! เมื่อความกลัวจู่โจมจากทุกทาง !

“เหงา”

เป็นความเหมือนจริง เป็นความน่ากลัวของคนเมือง ที่ถึงแม้จะมีแสงสีมีความวุ่นวายอย่างไร แต่ก็ยังเกิดความน่ากลัวขึ้นจนคุณสัมผัสได้ ไม่มีใครปฏิเสธว่าการมีมือถือ หรือการส่ง SMS เป็นปัจจัยที่ 5 ของเราไปแล้ว และอะไรจะเกิดขึ้นถ้ามีหญิงสาวคนหนึ่งมีความจำเป็นต้องอาศัยอยู่คนเดียวในห้องแคบๆ แล้วได้รับการติดต่อผ่าน SMS จากคนแปลกหน้า โดยที่เธอไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเค้าเป็นใคร มาจากไหน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดในห้องของเธอ …

“ยันต์สั่งตาย”

เรื่องราวของการแก้แค้น การเอาคืนของคนที่มีวิชาอาคม เป็นการเอาคืนโดยการเล่นของอย่างหนึ่งในรูปแบบของยันต์ ที่เรียกว่า “ยันต์สั่งตาย” เพื่อมาไล่ล่าแก้แค้นแทน แต่สุดท้ายหนังต้องการจะบอกว่าการแก้แค้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะมันจะไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีวันสงบสุข !

“คนกลาง”

ว่าด้วยเรื่องของกลุ่มเพื่อน 4 คนที่ไปเที่ยวป่าด้วยกันและทำในสิ่งที่ถ้าใครได้ดูหนังผีจะไม่ทำกัน คือเด็กกลุ่มนี้ไปเล่าเรื่องผีกันในป่าว่าเวลามาเที่ยวป่าต้องไม่นอนริมสุด เพราะจะโดนผีเล่นงาน แล้วพอตอนนอนจริงๆ ทุกคนก็ต่างแย่งกันนอนตรงกลางกันหมด แต่แล้วจะทำอย่างไรเมื่อคนที่นอนตรงกลางกลับเป็นคนที่โดนผีหลอกคนแรก!

“Last Flight”

เรื่องราวของแอร์โฮสเตสคนหนึ่งที่ต้องเดินทางไปกับผู้โดยสาร VIP ที่เป็นเจ้าหญิงจากต่างประเทศ ที่เมื่อได้ขึ้นไปรับใช้บนเครื่องแล้วรู้สึกว่าเจ้าหญิงเอาแต่ใจและค่อนข้างโหดร้ายกับเธอตลอดทั้งไฟลท์ แต่เรื่องที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหญิงเกิดสิ้นพระชนม์ เลยต้องขนศพเจ้าหญิงกลับประเทศ แอร์โฮสเตสคนนี้เลยต้องเดินทางไปกับศพด้วย แล้วเรื่องสยองและน่ากลัวต่างๆ ก็เกิดขึ้นบนเครื่องตลอดการเดินทาง !

รัก/สาม/เศร้า  (2551)

รายได้ : 60 ล้านบาท

“รัก/สาม/เศร้า” เป็นเรื่องราวของ “ฟ้า” “น้ำ” และ “พายุ” บัณฑิตจบใหม่จากคณะมัณฑนศิลป์ เป็นช่วงเวลาที่ทั้งสามต้องเลือกทางเดินของชีวิต ไม่ว่าเรื่องงานหรือเรื่องความรัก ซึ่ง “ฟ้า” เลือกจะแต่งงานกับคนที่เธอรัก โดยยอมทิ้งงานในสายอาชีพที่เธอเพิ่งเรียนจบมา “น้ำ” เพื่อนสนิทของ “ฟ้า” เลือกที่จะตัดใจจากความรักที่เธอแอบมีให้กับ “พายุ” เพื่อจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ ส่วน “พายุ” เพื่อนสนิทของ “ฟ้า” และ “น้ำ” เลือกที่จะตัดใจจากความรักที่เขาแอบมีให้กับ “ฟ้า” และไปอยู่กับแม่ดูแลกิจการโรงแรมที่เชียงราย

แต่ในวันหนึ่ง “ฟ้า” ต้องเข้าโรงพยาบาลกระทันหัน แล้วทุกคนก็ได้รู้ว่า “ฟ้า” ป่วยด้วยโรคที่ไม่มีทางรักษาและคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน และในระหว่างที่ “ฟ้า” ต้องเทียวเข้า-เทียวออกโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัว คนรักของ “ฟ้า” ที่วางแผนจะแต่งงานด้วยก็เกิดไปมีสัมพันธ์อื่น “ฟ้า” หมดสิ้นกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ในทันที “ฟ้า” จึงเลือกที่จะเลิกรักษาตัวเองและปล่อยให้โรคร้ายทำลายเธอโดยที่เธอไม่ยอมต่อสู้ใดๆ ช่วงนั้นเองที่ “พายุ” ตัดสินใจเลื่อนการกลับไปอยู่กับแม่ที่เชียงรายเพื่อเข้ามาอยู่ดูแล “ฟ้า” ในช่วงชีวิตสุดท้าย และช่วงเวลาที่อยู่เหลือน้อยนิดนั้น “ฟ้า” ถึงรู้ว่ารักแท้ที่เธอต้องการนั้นอยู่เคียงข้างเธอตลอดสี่ปีที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เพียงแต่เธอไม่เคยสังเกตเห็น ในช่วงเวลาที่เหลือนั้นเองที่ “ฟ้า” ยอมเปลี่ยนความสัมพันธ์กับ “พายุ” จากเพื่อนมาเป็นคนรัก

แต่เมื่อ “ฟ้า” เปิดหัวใจให้ “พายุ” “ฟ้า” กลับบังเอิญได้พบความลับว่า “น้ำ” เพื่อนรักของเธอนั้นแอบรัก “พายุ” มานานนับปี หัวใจที่ “ฟ้า” เปิดให้กับ “พายุ” จึงปิดลงทันที “ฟ้า” บอกลา “พายุ” โดยไม่ได้บอกกล่าวหรืออธิบายให้ “พายุ” ได้เข้าใจแต่อย่างไร “ฟ้า” คิดว่าไม่มีประโยชน์อันใดที่เธอจะเอาหัวใจของ “พายุ” มาทั้งๆ ที่เธอมีเวลาอยู่ได้อีกไม่นาน ความรักที่มีค่าของ “พายุ” มันน่าจะมีค่ากับ “น้ำ” มากกว่าคนที่กำลังจะตายอย่างเธอ

“ฟ้า” เลือกจะที่หายไปจากชีวิต “พายุ” และ “น้ำ” โดยมิได้บอกเหตุผลใดๆ “พายุ” ต้องตกอยู่ในห้วงทุกข์กับการจากลาของ “ฟ้า” โดยที่เขาไม่มีโอกาสที่จะรู้สาเหตุที่แท้จริง ความรักของ “พายุ” ทำให้ “น้ำ” ที่แอบรัก “พายุ” อยู่พลอยทุกข์ไปด้วย การเห็นคนที่รักทรมานเป็นสิ่งที่ “น้ำ” ทรมานมากกว่า “น้ำ” จึงตัดสินใจตามหา “ฟ้า” ไปทั่วทุกแห่ง

“น้ำ” ได้แต่เพียงหวังภาวนาว่า ด้วยความเป็นเพื่อนรักระหว่างเธอกับ “ฟ้า” ขอให้มันมีค่าพอที่จะเปลี่ยนใจ “ฟ้า” ให้หวนกลับมารัก “พายุ” ได้อีกครั้ง

โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต  (2551)

รายได้ : 50 ล้านบาท

“เชน” พนักงานฉายหนังรุ่นน้องตัดสินใจร่วมมือกับ “ยอด” หัวหน้าห้องฉายแอบซูมหนังผีเรื่อง “วิญญาณอาฆาต” ซึ่งทางผู้กำกับฯ กับทีมงานเอามาฉายดูกันเองก่อนที่หนังจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์จริง

ระหว่างที่ฉายหนัง “เชน” เผลอหลับไป เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้าก็พบว่า “ยอด” หายไปแล้ว มีเพียงกล้องวิดีโอตกอยู่ ในกล้องไม่มีภาพอะไรเลยนอกจากสัญญาณซ่าๆ ว่างเปล่า “เชน” เครียดมากเพราะนักเลงที่จ้างยอดขู่จะมาเอา “ของ” จาก “เชน” ให้ได้ เพราะตามหา “ยอด” ไม่เจอ “เชน” จึงจำต้องแอบซูมหนังอีกครั้ง

คืนนั้นขณะที่กำลังซูมหนัง “เชน” กระหน่ำโทรหา “ยอด” อย่างเอาเป็นเอาตายแต่ก็ไม่มีคนรับ แล้วอยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของ “ยอด” ก็ดังขึ้น ทั้งๆ ที่ในโรงมี “เชน” อยู่เพียงคนเดียว “เชน” พยายามมองหาที่มาของเสียง จนในที่สุด “เชน” ก็พบว่าเสียงโทรศัพท์ของ “ยอด” ดังออกมาจากลำโพงในโรงนั่นเอง

ส่วน “ยอด” ก็กลายเป็นศพอยู่ในจอหนังไปแล้ว !

“เชน” กลัวจนแทบจะเป็นบ้า แต่ก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใคร หลังจากคืนนั้น เหตุการณ์สยองขวัญต่างๆ เหมือนกับที่ตัวละครในหนังเรื่อง “วิญญาณอาฆาต” เผชิญรุมเร้าเข้าใส่ “เชน” จนกระทั่ง “ส้ม” พนักงานเดินตั๋วที่เป็นแฟนเก่าของ “เชน” เค้นจนได้รู้ความจริง “ส้ม” บอกกับ “เชน” ว่าหนังผีเรื่องนี้สร้างมาจากเหตุการณ์จริงในอดีต

และ “ผีชบา” เคยมีตัวตนอยู่จริงๆ !!!

ทั้งคู่จึงตัดสินใจช่วยกันค้นหาคำตอบแข่งกับเวลาว่าทำไมเหตุการณ์ในหนังผีเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นกับ “เชน” ที่สำคัญพวกเขาจะหยุดมันอย่างไร ก่อนที่ “เชน” จะต้องตายตอนจบเหมือนกับพระเอกในหนัง

ความจำสั้น แต่รักฉันยาว  (2552)

รายได้ : 49 ล้านบาท

“เก่ง” (อารักษ์ อมรศุภศิริ) กลับมาพบกับ “ฝ้าย” (ญารินดา บุนนาค) รักครั้งแรกของเขาอีกครั้ง เมื่อเธอพาหมามารักษาที่คลินิกของเขา หลายปีที่ไม่ได้เจอกัน “เก่ง” รู้เพียงว่า “ฝ้าย” แต่งงานไปกับเพื่อนสนิทของเขาและทั้งคู่เพิ่งจะหย่ากัน “เก่ง” ลังเลที่จะเริ่มต้นใหม่กับรักครั้งเก่า เขาพยายามตัดใจด้วยการแกล้งทำเป็นไม่เคยรู้จักเธอ เพราะเธอเองก็จำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ

“รักที่อยากจำกลับลืม”

“ป้าสมพิศ” (ศันสนีย์ วัฒนานุกูล) กับ “ลุงจำรัส” (กฤษณ เศรษฐธำรงค์) เป็นคู่รักที่พบกันในชมรมคอมพิวเตอร์เพื่อผู้สูงอายุ ทุกๆ อาทิตย์ลุงจะขับรถจากสวนที่ชุมพรมาเรียนกับป้าที่กรุงเทพฯ เพียงเพื่อจะได้อยู่ด้วยกันครั้งละสามชั่วโมง นั่นเพราะลูกของป้าไม่เห็นด้วยที่แม่ริมีรักใหม่ในวัยนี้ ทันทีที่รู้ว่าครอบครัวจะย้ายไปเมืองนอก ป้าตัดสินใจฮึดหนีลูกไปหาลุงที่ชุมพร โดยที่ไม่รู้ว่าวันและวัยเป็นอีกแรงที่กำลังพรากทั้งคู่ออกจากกัน

เพราะคนไม่ใช่ปลาทอง เราจึงลืมความรักกันไม่ได้ง่ายๆ
และแม้จะรู้ว่ายิ่งจำยิ่งเจ็บ เราก็ยังเลือกที่จะต่อสู้เพื่อมีรักอันยาวนาน

หนีตามกาลิเลโอ  (2552)

รายได้ : 30 ล้านบาท

“เชอรี่” นักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ถูกตัดสิทธิ์สอบและสั่งพักการเรียนเป็นเวลา 1 ปีด้วยความผิด – ที่เจ้าตัวเห็นว่า – เล็กน้อย นั่นคือ การปลอมลายเซ็นต์อาจารย์ในใบขออนุญาตใช้ห้องเขียนแบบ

“ก็แค่แบบฟอร์มโง่ๆ ที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรและไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน” “เชอรี่” ว่า แต่ไม่ว่าเธอจะว่าอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลการลงโทษที่เธอได้รับ

“เชอรี่” ต้องเรียนจบช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆ และโอกาสที่จะทำงานหาเงินให้พ่อภาคภูมิใจ ก็ต้องถูกขยับร่นลงไปนานถึง 1 ปี

“นุ่น” หญิงสาวร่าเริง น่ารัก แสนงอน ก่อนหน้านี้ท้าเลิกกับ “ตั้ม” แฟนหนุ่ม มาแล้วหลายครั้ง ทว่าลงท้าย “ตั้ม” เป็นต้องงอนง้อ ไม่เคยยอมเลิกกับเธอเลยสักครั้ง อย่างไรก็ตาม กับครั้งนี้ ทุกอย่างแตกต่างออกไป “เพราะฉันถามว่า ‘เลิกกันไหม’ แล้ว “ไอ้ตั้ม”บอกว่า ‘เออ’”

“ไม่รงไม่เรียนมันแล้ว!” “เชอรี่” ตะโกนก้องแบบฉุนขาด

“มีไอ้ตั้มที่ไหน ไม่มีนุ่นที่นั่น!” “นุ่น” เอาบ้าง

สองสาวตัดสินใจหนีให้ไกลจากสถานที่เกิดเหตุของปัญหา จูงมือกันมุ่งหน้าสู่ยุโรป บินข้ามหลายเส้นรุ้งและอีกหลายเส้นแวง ปลดแอกตัวเองจากแรงดึงดูดของโลกทันที แผนของทั้งคู่นั้น แสนง่าย ลงคอร์สภาษา (บังหน้า) – เสิร์ฟ เสิร์ฟ เสิร์ฟ – เก็บตังค์ เก็บตังค์ เก็บตังค์ – เที่ยว เที่ยว เที่ยว เป้าหมาย คือ บิ๊กธรีแห่งยุโรป ลอนดอน – ปารีส – เวนิส สโตนเฮนจ์, ทาวเวอร์ บริดจ์, หอไอเฟล, พิพิธภัณธ์ลูฟร์, โคลอสเซียม, เรือกอนโดล่า, หอเอนปิซ่า… แลนมาร์คสำคัญๆ ของโลกถูกหมุดหมายลงในใจของทั้ง “เชอรี่” และ “นุ่น” ก่อนออกเดินทาง ทั้งคู่จับมือ-จับไม้ทำสัญญาใจกัน

กฎข้อหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามทิ้งกัน
กฎข้อสอง ห้ามแหกกฎข้อแรกเด็ดขาด!

อย่างไรก็ตาม ลงท้ายมันก็เป็นอย่างที่เขาว่ากัน – ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่อง ‘เซอร์ไพรส์’ คาดไม่ถึงสารพัด “เชอรี่” และ “นุ่น” คาดไม่ถึงหรอกว่า บางครั้งคำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะก็ถูกสั่นคลอนเสียง่ายๆ เมื่อเจ้าของคำสัญญาเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจากภาระหน้าที่ในชีวิตประจำวัน พวกเธอคาดไม่ถึงหรอกว่า บางทีมิตรภาพยาวนานก็แทบจะถึงกาลแตกหักล่มสลายด้วยเหตุผลที่เหมือนจะไม่เป็นเหตุผลว่า “กูเบื่อขี้หน้ามึง!” และ “นุ่น” คาดไม่ถึงหรอกว่า เธอหนี “ตั้ม” คนหนึ่งไปไกลถึง ¼ โลก เพียงเพื่อจะไปพบความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับ “อีกตั้มหนึ่ง” เช่นกัน “เชอรี่” ก็คาดไม่ถึงว่าความตั้งใจเดิมที่ออกเดินทางเพื่อพาตัวเองหลุดพ้นจากกฎโง่ๆ ทั้งหลายของโลกครั้งนี้ ที่สุดแล้วจะนำพาเธอไปแล่นลงจอด ณ ปลายทางของการเรียนรู้ว่า

ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าจะหนีไปไกลแค่ไหน เธอและใครๆ ต่างต้องอยู่บนกฎพื้นฐานข้อเดียวกัน … ว่าเราไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก เช่นเดียวกับที่ “โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล” อย่างที่ “กาลิเลโอ” ว่าไว้

ห้าแพร่ง  (2552)

รายได้ : 114 ล้านบาท

“หลาวชะโอน”

สำหรับ “เป้” (เก้า-จิรายุ ละอองมณี) เด็กชายวัยสิบสี่ ‘กรรม’ เป็นเรื่องเชยโคตรๆ เขาลงมือปาหินใส่รถกระบะแถวบ้านเพียงเพราะอยากได้มือถือใหม่ เมื่อเหยื่อตาย แม่พา “เป้” หนีไปบวชในวัดป่าห่างไกล ภายใต้ผ้าเหลือง “เป้” พ้นจากมือกฎหมาย แต่กลับตกอยู่ในเงาของมืออีกมือหนึ่ง มันเอื้อมเข้ามาหาเขาช้าๆ ทว่าไม่หยุดยั้ง นั่นเพราะ ‘กรรม’ ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่แม่ใคร มันไม่รู้จักคำว่า ‘ให้อภัย’

“Backpackers”

คู่รักญี่ปุ่นคู่หนึ่งฉลองเรียนจบด้วยการแบ็กแพ็กตะลุยเมืองไทย ขากลับจากสมุยพวกเขาใช้วิธีโบกรถเข้ากรุงเทพฯ แต่โบกไม่ได้สักคัน หนุ่มยุ่นตัดสินใจใช้แบงค์พันเป็นรางวัลล่อ รถพ่วงคันหนึ่งจึงจอดรับ โชคร้ายที่สิ่งที่ซ่อนอยู่หลังตู้คอนเทนเนอร์และใบหน้ายิ้มแย้มของคนขับกับเจ้าเด็กรถ (แน๊ก-ชาลี ไตรรัตน์) เป็นบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้อะดรีนาลีนของทุกคนต้องคลั่ง

“รถมือสอง”

คนมีประวัติ รถก็มีประวัติ ยิ่งเป็นรถมือสองประวัติศาสตร์ของแต่ละคันอาจไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของใหม่อยากรู้ กลางดึกสงัดหลังเต๊นท์ปิด “นุช” (นิโคล เทริโอ) เจ้าของเต๊นท์รถมือสองขนาดใหญ่ย่านชานเมืองพบว่าลูกชายของเธอหายตัวไป ท่ามกลางแถวรถนับร้อยคัน เทปกล้องวงจรปิดจับภาพได้ว่าลูกของเธอแอบเข้าไปเล่นในรถคันหนึ่งที่เธอเพิ่งรับซื้อมา … แล้วไม่กลับออกมาอีกเลย

“คนกอง”

“เต๋อ” “เผือก” “ชิน” และ “เอ” เป็นทีมงานหนังผีที่การถ่ายทำดำเนินมาถึงคิวสุดท้าย คืนสุดท้าย ฉากสุดท้าย เหลือเพียงสองช็อตสุดท้าย แต่แล้วนักแสดงสาวหน้าใหม่ที่รับบทเป็นผีเกิดหัวใจวายตายกลางกองถ่าย ซวยสุดยอดที่ก่อนหน้านั้น “เต๋อ” ดันไปเสร่อทำเท่สอนเธอว่า “The show must go on” เธอจึงกลับมาเพื่อแสดงต่อ ทั้งสี่จึงต้องถ่ายหนังผี ที่มีผีเล่นเป็นผี ให้จบให้จงได้ … โดยห้าม “พี่ช่า” (มาช่า วัฒนพานิช) นางเอกของหนังรู้ความจริงเป็นอันขาด!

“ห้องเตียงรวม”

หนุ่มทะเล้นขี้เล่นคนหนึ่ง (แดน วรเวช) มอเตอร์ไซค์คว่ำขาหักทั้งสองข้าง จากห้องฉุกเฉินเขาถูกย้ายไปสู่ห้องเตียงรวม ทั้งๆ ที่อยากนอนห้องพิเศษ และในห้องรวมนี้ คนไข้เตียงติดกับชายหนุ่มเป็นร่างไร้สติของชายชราอาการโคม่าที่นอนรอวันปิดอ็อกซิเจนมาแล้วร่วมเดือน แต่เหมือนกับจะรู้ว่าเพื่อนหนุ่มหน้าใหม่เป็นคนขี้กลัว คืนนั้นชายแก่จึงลุกขึ้นมาเยี่ยมเขาถึงข้างเตียง!

รถไฟฟ้า มาหานะเธอ  (2552)

รายได้ : 147 ล้านบาท

“เหมยลี่” (คริส หอวัง) เป็นสาวอายุ 30 ปีที่มีพฤติกรรมป่วนประจำตัวอย่างหนึ่ง คือ การเมาในงานแต่งงานเพื่อน เพราะมันช่างตอกย้ำซ้ำเติมชีวิตโสดสนิทไร้ชายใดมาแผ้วพานของ “ลี่”

วันหนึ่งหลังลากสังขารกลับจากการส่งเพื่อนสาวสุดซี้เข้าห้องหอ “ลี่” ขับรถเสยเข้ากับแผงโจ๊กในตลาดโต้รุ่ง ส่งผลให้รถเก๋งคันงามของเธอถูกป๊าผู้ต่อต้านแอลกอฮอลล์ทุกชนิดขายทิ้ง โทษฐานเมาแล้วขับ

ชีวิตที่ไม่มีชายหนุ่ม คอยไปรับไปส่งอย่าง “ลี่” จึงต้องออกไปผจญการจราจรสุดโหดของเมืองบางกอกเพียงลำพัง แต่ละวัน “ลี่” ต้องปากกัดตีนถีบ ขึ้นมอเตอร์ไซค์ ต่อรถตู้ โบกแท๊กซี่ โหนรถเมล์ ฯลฯ สารพันความเมื่อยล้าจากการเดินทางทำให้เวลานอนของ “ลี่” แปรปรวน คืนหนึ่ง “ลี่” ตื่นขึ้นมากลางดึกและแอบขึ้นไปกินเบียร์บนดาดฟ้า โชคดีปนร้าย “ลี่” บังเอิญไปเจอลูกจ้างชายหญิงกำลังแสดง “หนังสด” กันอยู่ กลายเป็นคดีอื้อฉาวกลางดึกที่นำพาให้ “ลี่” ได้พบกับ “ลุง” (เคน ธีรเดช) วิศวกร Maintenance แห่งรถไฟฟ้า BTS

การที่ได้พบกับผู้ชายชื่อแปลกคนนี้แบบไม่เมาในคืนต่อมาทำให้ “ลี่” เริ่มรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเป็นครั้งแรกในสามสิบฝน ในหัว “ลี่” อัดแน่นด้วยคำถาม “ผู้ชายที่ทั้งขาว ทั้งหล่อ ทั้งเท่ ไหงถึงมาซ่อนตัวทำงานรถไฟฟ้ากะดึกอยู่อย่างนี้” “ลี่” รู้สึกราว “ลุง” คือ ขุมทรัพย์ที่เธอบังเอิญไปพบลายแทงเข้า หากเธอไม่ลงมือทำอะไร ไม่ทำในสิ่งที่ใจต้องการ เธออาจกลายเป็นหญิงโสดคนสุดท้ายในกรุงเทพมหานคร

“ลี่” ตัดสินใจทำในสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนเคยคิดแต่ไม่กล้าลงมือ นั่นคือ การจีบผู้ชายก่อน

แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ง่ายสำหรับมือใหม่หัดจีบอย่าง “ลี่” ไหนจะเวลาไม่ตรงกัน จนเหมือนอยู่คนละโลก ไหนจะถูก “เพลิน” (แพท อังศุมาลิน) สาวน้อยข้างบ้านหักหลัง แปรพักตร์จากครูไปเป็นคู่แข่งความรัก ไหน “ลุง” จะมีถ่านไฟเก่าเป็นถึงนางเอกละครหลังข่าวอันดับหนึ่ง

แต่ไม่ว่าจะต้องผจญภัยอุปสรรคไหนๆ “ลี่” ก็ไม่คิดถอดใจ

บ้านฉัน … ตลกไว้ก่อน (พ่อสอนไว้)  (2553)

รายได้ : 42 ล้านบาท

เรื่องราวของ “ต๊อก” (น้องเฟม) เด็กชายวัยประถมหก ที่เกิดมาในครอบครัวตลกคาเฟ่ ที่สืบทอดเสียงหัวเราะมาตั้งแต่บรรพบุรุษ บ้านนี้รับส่งมุขกันโดยสายเลือด แต่ปัญหาคือ “ต๊อก” ทายาทของครอบครัวตลกดันเกิดมามุขฝืดอย่างแท้จริง งานนี้ลูกชายคนนี้จึงกลายเป็นลูกไม้หล่นไกลต้น ที่มีเพียงคุณหมอรักษาสิว “น้ำแข็ง” (พอลล่า) คนเดียวที่ขำกับมุขตลกของลูกตลกที่ไม่ตลกคนนี้ จึงทำให้เกิดความรักความผูกพันต่างวัย ที่ดูแล้วต้องอมยิ้มกันทั่วหน้า

กวน มึน โฮ  (2553)

รายได้ : 125 ล้านบาท

เขาและเธอ ชาย-หญิงแปลกหน้า ที่ดันต้องมาจูงมือกันเที่ยวในนครแห่งความโรแมนติก

ชายหนุ่ม-หญิงสาวคู่หนึ่งเลือกที่จะไปเที่ยวเกาหลีด้วยเหตุผลที่ไม่ซ้ำใคร ทั้งคู่ไม่ได้ไปด้วยกัน แต่กลับพร้อมกัน … “ชายหนุ่ม” (เต๋อ – ฉันทวิชช์ ธนะเสวี) ผู้ชายที่จะไปย่ำแดนกิมจิด้วยรองเท้าแตะคีบ และเสื้อยืดย้วยๆ บวกกางเกงขาสั้น เขาเป็นคนเดียวในกรุ๊ปทัวร์ที่ไม่มีครอบครัวหรือคนรักมาด้วย บางทีที่นั่งว่างเปล่าข้างๆ อาจเป็นสาเหตุให้เขาเมามายขนาดนี้ในวันเดินทาง

หลังล้อเครื่องแตะพื้นผิวท่าอากาศยานกรุงโซล โปรแกรมเที่ยวตามรหัสนรก 6-7-8 (ตื่นนอน – กินข้าว – ล้อหมุน) ก็เริ่มต้นขึ้น ชายหนุ่มจำทนฟังมุขฝืดของไกด์อยู่ครึ่งค่อนวัน ยอมสวมบทตากล้องจำเป็นให้กับคู่หวานแหววชักรูปกับป้ายบ้าๆ บอๆ เป็นรอบที่ร้อย คืนนั้นชายหนุ่มเลยต้องพึ่งเหล้าโซจูย้อมใจ เข้าทำนอง “ดื่มเพื่อลืมทัวร์” แต่เรื่องกลับกลายเป็นว่า เขามาเมาสลบอยู่หน้าเกสท์เฮาส์แห่งหนึ่งในชุดคลุมอาบน้ำโรงแรม!

เช้าวันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มลุกพรวดขึ้นมาหมิ่นเหม่เวลาล้อหมุน “หญิงสาว” (หนูนา – หนึ่งธิดา โสภณ) ที่ยืนอยู่ตรงนั้นร้องโวยวาย เพราะต้องการทวงเสื้อหนาวที่เธอเสียสละให้เขาใช้คลุมกายคืน ชายหนุ่มผู้หลงทิศจึงบังคับแกมตีมึนให้หญิงสาวพาไปส่งที่โรงแรม แต่เพราะหลงทางเสียเวลา หลงเสพสุราเสียอนาคต ชายหนุ่มตกรถพลาดทัวร์สุดเนิร์ด จนต้องมาเกาะสอยห้อยตามหญิงสาวที่ตั้งใจมาทัวร์เดี่ยวตะลุยโลเกชั่นซีรีย์สสุดฮิตของเกาหลีแทน

ชายหนุ่มอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมหญิงสาวถึงมาเที่ยวคนเดียว เธอตอบง่ายๆ ว่า เที่ยวคนเดียวไม่ต้องเกรงใจใคร อยากไปไหนก็ไป ไม่ต้องทะเลาะกับใครด้วย อาจเพราะความคะนอง หรือความเหงาทำงานเต็มที่ก็สุดจะเดา อยู่ๆ ชายหนุ่มก็ยื่นข้อเสนอ “งั้นเรามาเที่ยวด้วยกันมั้ย ถ้าเธอไม่ชอบเที่ยวกับคนรู้จัก เราก็ไม่ต้องรู้จักกัน ไม่รู้ชื่อ ไม่รู้ข้อมูลส่วนตัว” เขายิ้มร่าพลางสรุป “เราจะเป็นแค่คนแปลกหน้าสองคนที่ไปเที่ยวด้วยกัน”

อาจเพราะความมึนจากฤทธิ์เหล้าโซจูที่เธอกระดกหมดถ้วย หรือความทะเล้นของชายหนุ่มที่ทำให้หญิงสาวอบอุ่นใจ เธอจึงตอบตกลง “โอเค พอกลับเมืองไทยเราก็ไม่เจอกันแล้ว เพราะฉะนั้นอยู่ที่นี่เราจะเป็นตัวของตัวเองกันให้สุดๆ”

กระดึ๊บ  (2553)

รายได้ : 14 ล้านบาท

กลางปี พ.ศ. 2549 ชาวบ้านฮือฮาพบวัตถุประหลาดคล้ายเจลใสหล่นจากฟากฟ้า ลือเป็นสัตว์ประหลาดต่างดาว! แต่ … สุดท้ายเรื่องราวกลับ “โอละพ่อ” เมื่อสัตว์ประหลาดที่ว่ากลับกลายเป็นแค่แผ่นเจลลดไข้แช่น้ำธรรมดา!

แต่ … จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจลลดไข้ไม่ได้เป็นแค่เจลลดไข้ แต่ดันหักมุม (อีกที) กลายเป็นสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวเข้าจริงๆ!

เรื่องราวเกิดขึ้นหลังค่ำคืนพายุฝนฟ้าคะนอง เมื่อวัตถุลึกลับปริศนาตกลงมาในเขตแดนระหว่างบ้านของ “ป๊า” (จตุรงค์ มกจ๊ก) เจ้าของร้านซาลาเปาที่ปากกล้าและอหังการกับทุกคน … ยกเว้นเมีย กับ “น้าแมว” (จิ้ม ชวนชื่น) จิ๊กโก๋รุ่นใหญ่เจ้าของโรงน้ำแข็งผู้ไม่เคยก้มหัวให้ใคร

ในเมื่อไอร้อนจากหม้อนึ่งซาลาเปาทำให้น้ำแข็งละลาย มันจึงกลายเป็นข้อขัดแย้งทางธุรกิจที่ทำให้เสือสองตัวอยู่รั้วติดกันไม่ได้ ทั้งคู่ถืออีกฝ่ายเป็นศัตรูคู่อริและสาบานต่อดินฟ้าว่า ‘ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ’

แต่ … รักต้องห้ามก็ยังเกิดขึ้นจนได้ เมื่อ “ไอ้หนุ่มสมหมาย” (ฟรอยด์ ณัฏฐพงศ์) หลานชาย “น้าแมว” ชายหนุ่มขี้เล่นที่ยังหาทางเอาดีกับชีวิตไม่ได้ ดันปีนข้ามรั้วมาจีบ “หมูแดง” (พีค ภัทรศยา) ลูกสาวคนโตสุดรักสุดหวงของ “ป๊า”

ในสถานการณ์ที่ทั้งสองบ้านกำลังเผชิญกับปัญหาถูกมาเฟียเจ้าถิ่นคุกคามไล่ที่ อยู่ดีๆ สัตว์ประหลาดจากต่างดาวที่ตกลงมาก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความอลหม่าน เมื่อ ‘ความร้อน’ คือขุมพลังงานสำคัญ เจ้าสัตว์ต่างดาวจึงออกอาละวาด โดยใช้วิธีจู่โจมเข้าไปในร่างกายของสิ่งมีชีวิตเพื่อดูดความร้อนออกมา แถมยังแพร่พันธุ์วางไข่อีกนับร้อยใบไว้ในหม้อนึ่งซาลาเปา! ในขณะที่เจ้าของร่างที่ถูกมันจู่โจมก็จะโดนดูดความร้อนทั้งหมดออกจากตัว จนร่างกลายเป็นน้ำแข็งและเสียชีวิตในที่สุด

งานนี้ศัตรูคู่อาฆาตจึงต้องหันมาญาติดีกัน เพื่อร่วมมือกันงัดเอาสุดยอดกลเม็ดเด็ดพรายมาปราบเจ้าสัตว์ประหลาดร้ายจากต่างดาวตัวนี้ให้จงได้

Suck Seed ห่วยขั้นเทพ  (2554)

รายได้ : 80 ล้านบาท

“เป็ด” (จิรายุ ละอองมณี) เด็กประถมสุดเห่ยที่ไม่เคยฟังเพลง แต่เพราะ “เอิญ” (ณัฐชา นวลแจ่ม) เพื่อนร่วมห้องได้ทำให้เขารู้จักกับเพลงและความรัก แต่รักครั้งแรกก็ต้องแตกสลาย เมื่อเธอต้องย้ายไปไกลแสนไกล …

เวลาผ่านไปไวถึง ม.6 “เอิญ” ก็กลับมาพร้อมกับความน่ารักและฝีมือกีตาร์ขั้นเทพ “เป็ด” ที่ยังเห่ยเหมือนเดิมจึงจับมือกับ “คุ้ง” (พชร จิราธิวัฒน์) เพื่อนสนิทสุดเกรียนที่วันๆ คิดแต่จะหม้อหญิง พ่วงด้วย “เอ็กซ์” มือกลองบ้าพลังที่อยากสอยดาวโรงเรียนที่แอบชอบอยู่ รวมกันเป็นสามตัวห่วย ตั้งวงเพื่อจีบสาวสวย ด้วยเสียงดนตรีที่สุดซี้ด ให้ทุกคนได้ร้องกรี๊ด ไปพร้อมๆ กับวง “SuckSeeD” !

ลัดดาแลนด์  (2554)

รายได้ : 117 ล้านบาท

“บ้าน” ปัจจัยสี่ในฝันที่ทุกคนอยากเป็นเจ้าของ “ธีร์” (สหรัถ สังคปรีชา) ก็เช่นกัน เขาก็เหมือนหนุ่มสาวอีกนับแสน-นับล้านคนในกรุงเทพฯ ที่ไม่มีปัญญาซื้อบ้าน ลำพังเงินเดือนพนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ ของ “ธีร์” การเก็บหอมรอมริบหาเงินมาดาวน์บ้านเป็นภาระสาหัสเกินไป ทุกวันนี้ “ธีร์” เช่าอพาร์ตเมนต์เป็นที่อยู่ มันเป็นปมด้อยที่ทำให้เขารู้สึกผิดต่อทุกคนในครอบครัว “ป่าน” (ปิยธิดา วรมุสิก) – ภรรยาที่แม่ยายพร่ำกรอกหูอยู่ตลอดเวลาว่าเขากระจอกเกินไปสำหรับเธอ “แนน” – ลูกสาววัยรุ่นที่ “ธีร์” ไม่เคยได้อยู่ร่วมชายคาเพราะส่งไปให้แม่ยายช่วยเลี้ยงดู และ “นัท” – ลูกชายวัย 5 ขวบ ที่ยังเดียงสาพอจะเห็นพ่ออย่างเขาเป็นฮีโร่

ในวัยย่าง 40 “ธีร์” คิด ว่าตัวเองคงเป็นสามี เป็นพ่อ เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ไม่เอาไหนหากไม่สามารถมีบ้านสักหลังไว้เป็นหลักประกันความสุขของ “ครอบครัว” โอกาสมาถึงเมื่อ “ธีร์” ได้รับข้อเสนอเป็นตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายการตลาดที่บริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเงินเดือนที่มากขึ้นและค่าที่ดินที่ถูกลง บ้านเดี่ยวหลังใหญ่แบบในหนังโฆษณาก็ไม่ใช่ฝันที่เกินเอื้อมอีกต่อไป “ธีร์” ตัดสินใจทิ้งชีวิตเก่าเพื่อไปตั้งรกรากในบ้านที่เขาเฟ้นแล้วเฟ้นอีกว่าดีที่สุดโดยไม่ฟังคำทัดทานของทั้งเมียและลูก “ธีร์” เชื่อว่าครอบครัวของเขาจะมีความสุขมากกว่าที่ “หมู่บ้านลัดดาแลนด์”

บนโต๊ะอาหารในบ้านหลังใหม่ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น “ธีร์” ยิ้ม อย่างภาคภูมิ ที่ในที่สุดครอบครัวของเขาก็ได้มาอยู่กันพร้อมหน้า … โดยไม่รู้ว่าในค่ำคืนเดียวกันนั้นเอง มีเด็กรับใช้ชาวพม่าของบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านถูกฆาตกรรมอย่างทารุณ คนร้ายสาดเธอด้วยน้ำกรดจนใบหน้าแหลกเหลวแล้วทุบตีเธอจนตายก่อนนำศพไปยัดไว้ในตู้เย็น … “หมู่บ้านไหนๆ ก็มีคนตาย” แต่ไม่ใช่ทุกหมู่บ้านจะได้ประสบกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นใน “ลัดดาแลนด์”

Top Secret : วัยรุ่นพันล้าน  (2554)

รายได้ : 38 ล้านบาท

อายุ 16 “ต๊อบ” มีเงินจากการเล่นเกมส์เดือนละ 400,000 บาท
อายุ 17 ยอมติด F แลกกับเงินค่าขายเกาลัดแค่ 2,000 บาท
อายุ 18 บ้านล้มละลายเป็นหนี้ 40 ล้าน
อายุ 19 นำสาหร่ายเถ้าแก่น้อยเข้าเซเว่น 3,000 สาขา

ทุกวันนี้ “ต๊อบ” อายุ 26 ปี เป็นเจ้าของแบรนด์สาหร่ายอันดับหนึ่งของเมืองไทย เจ้าของมาร์เก็ตแชร์ 85% ของทั้งตลาด หรือเท่ากับยอดขายเหยียบ 1,000 ล้านบาทต่อปี มีลูกน้องในบริษัททั้งสิ้น 1,200 คน

คุณทำอะไรอยู่ตอนคุณอายุเท่า “ต๊อบ” ?

“TOP SECRET วัยรุ่นพันล้าน” ภาพยนตร์แรงบันดาลใจวัยรุ่นจะพาคุณไปรู้จักกับเรื่องราวจากชีวิตเบื้องลึกของ “ต๊อบ อิทธิพัฒน์” (พีช พชร) เจ้าของธุรกิจ “สาหร่ายเถ้าแก่น้อย” วัยรุ่นไทยที่พลิกชีวิตจากเด็กติดเกมส์ออนไลน์ เด็กมัธยมปลายที่เคยถูกครูฝ่ายปกครองค่อนขอดว่าเรียนจบแล้วจะไปทำอะไรกิน จนกลายมาเป็นวัยรุ่นพันล้านในวันนี้ “ต๊อบ” ก้าวกระโดดมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากรวย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าลงมือรวยแบบ “ต๊อบ”

อะไรคือสิ่งที่ “ต๊อบ” ต้องฝ่าฟัน อะไรคือสิ่งที่ “ต๊อบ” ต้องแลกให้กับคำว่า “รวย” และอะไรคือมูลค่าที่แท้จริงของ “ความรวย”

ATM เออรัก … เออเร่อ  (2555)

รายได้ : 152.5 ล้านบาท

จากผลวิจัยอ้างอิงระบุว่า 85% ของคู่รักที่ทำงานด้วยกัน มีแนวโน้มที่จะเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับงาน อีก 57% มีโอกาสที่จะร่วมกันทำทุจริต เช่น ยักยอกเงิน หรือเอื้อประโยชน์ให้กันทางอ้อม “ธนาคาร JNBC” สัญชาติญี่ปุ่นที่มาเปิดสาขาในประเทศไทย จึงตรากฎเหล็กเอาไว้ “ห้ามพนักงานเป็นแฟนกัน!” แต่คนจะรักกันชอบกัน มันจะห้ามได้ยังไง … (วะ)

“เสือ กับ “จิ๊บ” พนักงานในแผนกเอทีเอ็มภาคตะวันออกจึงแอบลักลอบคบกันอย่างลับๆ มาเป็นเวลา 5 ปี โดยที่ไม่มีใครระแคะระคาย จนกระทั่งวันหนึ่งเรื่องแดงขึ้นมาว่ามีชาย-หญิงในแผนกคู่หนึ่งแอบฝ่าฝืนกฎข้อนี้ ซึ่งพอจับได้ “จิ๊บ” ในฐานะหัวหน้าแผนกเลยจำใจต้องไล่คนใดคนหนึ่งออก

เหตุการณ์นี้ทำให้ “จิ๊บ” ตัดสินใจบอกกับ “เสือ” ว่า “เราเลิกกันเถอะ!” “เสือ” เห็นแฟนตัวเองชักจะไปกันใหญ่ เลยเสนอทางออกใหม่ให้ “แต่งงาน” กันดีกว่า! …พูดไม่พูดเปล่า “เสือ” ยังเลี้ยวรถปราดเข้าไปในโรงแรม จัดแจงจองห้องจัดเลี้ยงและเลือกแพ็กเกจแต่งงานเสร็จสรรพในเวลาไม่กี่ชั่วอึดใจ ปัญหารักลับๆ ท่าทางจะคลี่คลายด้วยดี จนถึงตอนว่าที่เจ้าบ่าวหันมาบอกว่าที่เจ้าสาวว่า “พรุ่งนี้เธอยื่นใบลาออกได้เลย (นะจ๊ะ)”

“จิ๊บ” อ้างความเป็นหัวหน้าใส่ทันทีว่า “ชั้นทำงานที่นี่มาก่อนนะยะ เรื่องอะไรชั้นจะต้องลาออก!” ในขณะที่ “เสือ” ก็สวนกลับแบบไม่ยอมออกง่ายๆ “แล้วเรื่องอะไร เราจะยอมเป็นแมงดาให้เธอหาเลี้ยง!” เถียงกันไป-เถียงกันมา ใช้สงครามจิตวิทยากดดันกันก็แล้ว ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ว่า “ใครจะเป็นคนลาออก?”

จนกระทั่งเกิดเรื่องใหญ่ เมื่อจู่ๆ ตู้เอทีเอ็มที่ชลบุรีเกิดแฮงก์จ่ายเงินเกินไป 130,000! “จิ๊บ” ดวงซวยได้รับมอบหมายจากหัวหน้าฝ่ายให้ไปตามหาตัวคนที่กดเงินเกินไปและตามเอาเงินก้อนนี้กลับคืนมาให้ได้ภายใน 2 อาทิตย์ มิฉะนั้นจะถูกริบเท็นเยียร์โบนัส แต่ “จิ๊บ” หัวไวพลิกวิกฤตเป็นแผนชั่ว วางกับดักล่อให้เสือร้ายมาติดกับ โดยอ้างว่าต้องไปทำภารกิจนี้กับลูกชายหัวหน้าฝ่ายแบบสองต่อสองที่ชลบุรี ทำให้ “เสือ” รีบตัดหน้ายกมือรับอาสาไปทำแทนให้

พอเห็นเสือร้ายแหย่ขาเข้ามาในหลุมพราง “จิ๊บ” ก็รีบออกปากท้าว่า “ถ้างานนี้ ไม่สำเร็จ เธอต้องเป็นฝ่ายลาออก” “เสือ” ตอบรับคำท้า พร้อมยื่นข้อแลกเปลี่ยนว่า “ถ้าเราทำได้ เธอก็ต้องลาออกเหมือนกัน!” หลังจากจับมือทำสัญญา “เสือ” ก็ขับรถมุ่งหน้าสู่ชลบุรีด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่พอมารู้ว่าภาพจากกล้องวงจรปิดใช้การไม่ได้ แถมฮาร์ดดิสก์ในเอทีเอ็มยังเออเรอร์จนไม่ระบุเวลาคนที่มากดเงินไปอีกต่างหาก “เสือ” ถึงเพิ่งรู้ว่างานนี้โดน “จิ๊บ” หลอกเข้าเต็มเปา แถม “จิ๊บ” ยังหักหลัง “เสือ” ซ้ำซ้อน ด้วยการดอดลงสนามมาตามเงินแข่งกับ “เสือ” โดยมีแต้มต่อเป็นผู้ช่วยที่เป็นถึงผู้จัดการสาขาชลบุรี

แมตซ์นี้คู่รักกลับกลายมาเป็นคู่แข่ง ในสนามไล่ล่าหาตัวผู้โชคดีจากตู้เอทีเอ็ม แต่บรรดามือมืดที่แฝงตัวอยู่ในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ก็ล้วนไม่ธรรมดา “แป๊ด” คนขับสองแถวจอมกะล่อน พา “เสือ” ไปปล่อยทิ้งไว้กลางทุ่งนา ในขณะที่ “ปื๊ด” เบ๊ทีมบอลชลบุรีและคู่ซี้ “ไอ้แป๊ด” ถึงขั้นวางแผนฆ่าปิดปาก! ส่วน “เจ๊อัม” เจ้าของร้านซักรีดปากร้ายที่เอาเงินจากเอทีเอ็มไปถอยเครื่องซักผ้าฝาหน้ารุ่นใหม่เอี่ยมจนหมดเกลี้ยง อาศัยร่มเงาศาสนาหนีการตามล่า แต่ “ก๊อบ” สก๊อยวัยรุ่น แฟน “ไอ้ปื๊ด” และลูกสาว “เจ๊อัม” ดันมาตกหลุมรัก “เสือ” แบบหัวปักหัวปำ ก็เลยอาสามาเป็นผู้ช่วย “เสือ” (ซะงั้น) แล้วไหนจะ “จ่าแซม” จอมโหดที่เลี้ยงจระเข้ไว้เฝ้าบ้านอีกเล่า …

… ทันทีที่รู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อการตามล่าของธนาคาร แต่ละคนก็งัดสารพัดวิธีที่จะยื้อไม่ยอมคืนเงินกลับมาง่ายๆ … เลยยิ่งทำให้มิชชั่นการตามเงินครั้งนี้ยิ่งดู Very Impossible เข้าไปอีก สงครามของหนุ่มสาวออฟฟิศคู่นี้จะลงเอยอย่างไร ใครจะเป็นผู้ชนะ

รัก 7 ปี ดี 7 หน  (2555)

รายได้ : 70 ล้านบาท

“14”

ความรักของ “ป่วน” (จิรายุ ละอองมณี) และ “มิลค์” (สุทัตตา อุดมศิลป์) ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป ฉับพลันที่ “ป่วน” ตัดสินใจเปลี่ยน Status ใน Facebook เป็น ‘In Relationship’ “ป่วน” โพสต์คลิปเผยแพร่ความรักของตัวเองลงใน Youtube อย่างละเอียดยิบด้วยความภาคภูมิใจและเนิร์ดแฟน หลากหลายคอมเม้นต์ ความอยากรู้อยากเห็น และยอด Views ที่พุ่งอย่างไม่หยุดยั้ง ดึง “ป่วน” ให้ถลำลึกลงไปในโลกของฟีดแบ็คจากคนที่เขาไม่รู้จัก ส่วนคนที่เขารักนั้นยิ่งนานวันเธอก็ยิ่งมีค่าน้อยกว่ายอดคลิก Like ในหน้า Wall Facebook ของเขา

“21/28”

เรื่องราวรักนอกจอของอดีตสองซุปเปอร์สตาร์ที่เคยมีหนังร้อยล้านร่วมกันเมื่อ 7 ปีก่อน ปัจจุบันฝ่ายหญิง “แหม่ม” (คริส หอวัง) ในวัย 28 ยังกระเสือกกระสนหาทางกลับไปยืนแป้นนางเอกอีกครั้ง โอกาสมาถึงเมื่อสตูดิโอเจ้าของหนังประกาศสร้างภาคสอง แต่นั่นหมายถึงต้องได้พระ-นางคู่เก่าคืนจอ ปัญหาอยู่ที่ “จอน” (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) นั้นสาปส่งวงการหนีไปเป็นผู้ดูแลสัตว์น้ำใน Siam Ocean World ไปแล้ว “แหม่ม” จึงต้องบากหน้าไปตื๊อแฟนเก่าทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่าย ‘ดังแล้วทิ้ง’ เพียงเพื่อจะพบว่าอดีตพระเอกเจ้าของกล้ามซิคแพ็คได้แปรสภาพเป็นไอ้อ้วนหนัก 80 ที่เกลียดเธออย่างกับขี้ไปซะแล้ว

“42.195”

จับเอาเรื่องราวของชีวิตและการวิ่งมาราธอนมาเปรียบล้อกัน เรื่องราวของ “หล่อน” (สู่ขวัญ บูลกุล) ผู้ประกาศข่าวสาววัย 40 ที่กำลังหลงแผนที่ชีวิต “หล่อน” ประสบกับความสูญเสียใหญ่หลวงและไม่รู้จะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร จนกระทั่ง “หล่อน” ได้พบกับ “เขา” (นิชคุณ หรเวชกุล) นักวิ่งหนุ่มที่ชวนให้ “หล่อน” เข้าแข่งขันมาราธอน ลมหายใจของ “หล่อน” ก็เหมือนจะกลับมามีความหมายอีกครั้ง

เคาท์ดาวน์  (2555)

รายได้ : 26 ล้านบาท

“…4…3…2…1” ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทุกคนบนโลกล้วนเฝ้ารอนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ รวมถึงสามวัยรุ่นไทยในนิวยอร์คที่แชร์ห้องอยู่ร่วมกัน “แจ็ค” (พีช – พชร จิราธิวัฒน์) หนุ่มไฮโซที่โกหกคนที่บ้านว่ามาเรียนต่อ แต่กลับใช้เงินเที่ยวเล่นไปวันๆ “แพม” (พีค – ภัทรศยา เครือสุวรรณศิริ) สาวเปรี้ยว หัวสูง ที่ใช้ของหรู เพื่อตัวเองจะได้ดูดีในสายตาคนอื่น และ “บี” (เต้ย – จรินทร์พร จุนเกียรติ) แฟนสาวของ “แจ็ค” ที่ไม่เคยบอกใครว่าเธอมาที่นี่เพราะอะไร

ทั้งสามอยากจัดปาร์ตี้ให้สนุกสุดเหวี่ยงส่งท้ายคืนวันสิ้นปี “แจ็ค” เลยโทรเรียก “เฮซุส” ชายฝรั่งแปลกหน้า ผู้เป็นดีลเลอร์ส่งยาให้มาหาที่ห้อง เพื่อมอบความสุขอันหฤหรรษ์ให้พวกเขาเสพ โดยต่างไม่มีใครรู้ว่า จริงๆ แล้วเขาเป็นใครกันแน่ แต่การมาเยือนของเขาจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล ตัวตนแท้จริงจะถูกเผย ความผิดที่ปกปิดจะปรากฏ เขาและเธอจะไม่พบทางหนี จะไม่เจอทางรอด และจะไม่มีทางหลุดพ้นจากเงื้อมมือของชายที่เปรียบดั่งปีศาจคนนี้ไปได้

พี่มาก … พระโขนง  (2556)

รายได้ : 1,000 ล้านบาท (ทั่วประเทศ)

ณ สยามประเทศ ในยุคที่ยังมีสงคราม ชาวบ้านจำนวนมากต้องถูกเกณฑ์ไปรบ “มาก” จำต้องทิ้งเมียของเขาที่กำลังท้องแก่ไว้ที่บ้านเพื่อเข้าร่วมศึก ระหว่างสงคราม “มาก” ได้พบและช่วยชีวิตเพื่อนทหารเกณฑ์สี่คนคือ “เต๋อ” “เผือก” “ชิน” และ “เอ” จนท้ายที่สุดทั้งห้าก็กลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อสงครามยุติ “มาก” จึงชวนให้ทั้งสี่ไปเยี่ยมบ้านของเขาที่พระโขนง

เมื่อถึงพระโขนง “มาก” แนะนำให้ “เต๋อ” “เผือก” “ชิน” และ “เอ” รู้จักกับ “นาค” เมียสาวแสนสวยของเขา และยังมี “แดง” ลูกชายวัยแรกเกิดของ “มาก” ด้วย “เต๋อ” “เผือก” “ชิน” และ “เอ” ตัดสินใจอยู่ที่พระโขนงสักระยะโดยอาศัยที่บ้านหลังเก่าฝั่งตรงข้ามบ้านของ “มาก”

ขณะนั้นมีข่าวลือหนาหูในหมู่ชาวบ้านว่า “นาค” เป็นผีตายทั้งกลม! โดยต้นตอมาจาก “ยายเปรียก” เจ้าของร้านยาดองปั่น ทั้งสี่ไม่เชื่อ จึงพยายามพิสูจน์ด้วยวิธีการต่างๆ ต่อมา “ยายเปรียก” ผู้ปล่อยข่าวลือเกิดจมน้ำตายลอยขึ้นอืดอย่างน่าสยดสยอง ทำให้ “เต๋อ” “เผือก” “ชิน” และ “เอ” ปักใจเชื่อว่า “นาค” เป็นผีแน่ๆ

ทั้งสี่ไม่กล้าบอก “มาก” ตรงๆ เนื่องจากกลัวจะต้องพบจุดจบแบบเดียวกับ “ยายเปรียก” แต่เมื่อนึกถึงบุญคุณที่ “มาก” เคยช่วยชีวิต พวกเขาจึงต้องตัดสินใจบอกความจริงให้ “มาก” รู้ “เพราะคนกับผีอยู่ร่วมกันไม่ได้”

คิดถึงวิทยา  (2557)

รายได้ : 101 ล้านบาท

ปีการศึกษา 2555 “สอง” (บี้ – สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว) อดีตนักกีฬามวยปล้ำตกอับต้องผันตัวเองมาเป็นครูยังโรงเรียนแห่งหนึ่งที่กว่าจะไปถึงต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด ขึ้นรถผ่านผืนป่า ลงเรือฝ่าผืนน้ำหลายชั่วโมง โรงเรียนซึ่งตั้งอยู่กลางเขื่อน โอบล้อมด้วยภูเขาและผืนน้ำอันกว้างใหญ่ “โรงเรียนบ้านแก่งวิทยา สาขาเรือนแพ”

โรงเรียนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เด็กๆ ลูกชาวประมงที่ไม่มีโอกาสออกไปนอกเขื่อนได้มีโอกาสเรียนหนังสือ “สอง” ต้องสอนเด็กๆ สุดแสบที่แม้จะมีเพียง 4 คน แต่ก็ล้วนเรียนกันคนละชั้นกันหมด แถมเขายังต้องสอนเด็กๆ ทุกวิชา ทุกชั้นเรียน ด้วยตัวคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นเขายังต้องทนกับสภาพที่ไม่มีทั้งไฟฟ้าและน้ำประปา หนำซ้ำต้องผจญกับความเหงาที่ไม่สามารถติดต่อใครได้เพราะที่โรงเรียนนี้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์

สิ่งเดียวที่พอจะช่วยให้ “สอง” คลายเหงาได้คือไดอารี่เล่มหนึ่งที่ถูกลืมทิ้งไว้ของ “แอน” (พลอย – เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) ครูคนเก่าที่เพิ่งย้ายออกไป “แอน” เขียนตัดพ้อถึงชีวิตของเธอและครูทุกคนที่มาสอนที่นี่ว่านอกจากจะลำบากแล้วยังต้องเลิกกับแฟนทุกราย ถึงขนาดตั้งฉายาให้โรงเรียนนี้ว่า “ถ.ท.ว. ถูกทิ้งวิทยา”

“สอง” อ่านเรื่องของ “แอน” ผ่านสมุดเล่มนี้เสมือนเธอเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่เข้าใจหัวอกของเขา จนกลายเป็นความผูกพันผ่านตัวหนังสือที่ยิ่งอ่านเขาก็ยิ่งเฝ้าคิดถึงตัวจริงของเธอ แต่แม้ “สอง” จะอยากเจอ “แอน” แค่ไหน เขาก็ไม่รู้ว่าจะไปพบเธอได้อย่างไร …

ปีการศึกษา 2556 โชคชะตานำพาให้ “แอน” กลับมาสอนที่โรงเรียนแห่งนี้อีกครั้ง ทว่า “สอง” กลับไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว “แอน” พบไดอารี่ที่เธอลืมทิ้งไว้ พอ “แอน” เปิดอ่านก็ต้องแปลกใจเมื่อได้พบกับลายมือของ “สอง” ที่เขียนต่อจากสิ่งที่เธอเคยเขียนไว้ เขาระบายความรู้สึกในใจตลอดช่วงเวลาที่สอนอยู่ที่นี่ โดยเฉพาะความหวังที่เขาอยากจะพบกับ “แอน” สักครั้ง

“แอน” ไม่รู้ว่า “สอง” จากไปเพราะอะไร ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนหรือแม้กระทั่งว่าเขาเป็นใคร แต่การได้รู้ว่ามีคนอีกคนที่เคยอยู่ในที่แห่งเดียวกับเธอคอยเฝ้าคิดถึงแต่เธอ ความรู้สึกในการกลับมาสอนที่โรงเรียนแห่งนี้อีกครั้งของ “แอน” ก็เปลี่ยนไปจากเหมือนถูกทิ้งกลายมาเป็นความคิดถึง คิดถึงใครสักคนที่แม้แต่เธอเองก็ยังไม่เคยได้พบมาก่อน …

ฝากไว้ … ในกายเธอ  (2557)

รายได้ : 66.9 ล้านบาท

“เพิร์ท” (จุฑาวุฒิ ภัทรกําพล) และ “แทน” (ธนภพ ลีรัตนขจร) ต่างก็เป็นทั้งเพื่อนรักและศัตรูคนสำคัญกันมาโดยตลอด ทั้งคู่เป็นนักกีฬาว่ายน้ำของจังหวัดที่พยายามแข่งกันเพื่อแย่งชิงโควต้าเข้ามหาวิทยาลัย แต่แม้ว่า “เพิร์ท” จะพยายามฝึกฝนตัวเองมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถเอาชนะพรสวรรค์ของ “แทน” ได้ หนำซ้ำ “เพิร์ท” ยังแอบไปตกหลุมรัก “ไอซ์” (สุภัสสรา ธนชาต) แฟนสาวของ “แทน” ซึ่งเธอก็มีใจให้เขาเช่นกัน

แต่แล้ว “ไอซ์” กลับฆ่าตัวตายอย่างปริศนาภายในสระว่ายน้ำซึ่งเป็นที่ซ้อมของนักกีฬาจังหวัด “แทน” เสียใจมากจนหายหน้าไปจากการฝึกซ้อม “เพิร์ท” จึงกลับมาเป็นตัวเต็งในการคว้าโควต้าเข้ามหาวิทยาลัย ทว่าตลอดเวลาที่ “เพิร์ท” ซ้อมว่ายน้ำคนเดียวกลางดึก นับวันเขายิ่งกลับรู้สึกราวกับมีใครมาว่ายอยู่ด้วยข้างๆ หรือแม้แต่สายตาที่คอยจ้องมองเขาในเงามืด แม้ว่าทั้งสระจะมีเพียงเขาคนเดียวก็ตาม

กระทั่งวันหนึ่ง “แทน” กลับมาที่สระแล้วเล่าให้ “เพิร์ท” ฟังถึงสาเหตุที่ “ไอซ์” ฆ่าตัวตายว่าเป็นเพราะเธอท้อง “แทน” บอก “เพิร์ท” ว่าเขาจะแก้แค้นให้ “ไอซ์” เขาจะต้องรู้ตัวคนที่ทำให้ “ไอซ์” ฆ่าตัวตายให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม

“เพิร์ท” จะทำอย่างไรกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญ ความผิดที่เขาได้ฝากไว้กับทั้ง “แทน” และ “ไอซ์” กำลังจะถูกเปิดเผยออกมาอย่างช้าๆ และทรมาน!

ไอฟาย … แต๊งกิ้ว … เลิฟยู้  (2557)

รายได้ : 335 ล้านบาท

“เพลง” (ไอซ์ – ปรีชญา พงษ์ธนานิกร) ติวเตอร์ภาษาอังกฤษสาว ต้องพบกับเรื่องราวอันสุดแสนจะน่าปวดหัว เมื่อลูกศิษย์ชาวต่างชาติของเธอตัดสินใจทิ้ง “ยิม” (ซันนี่ – สุวรรณเมธานนท์) แฟนหนุ่มคนไทยไปอเมริกา แต่ด้วยความที่ “ยิม” ฟังภาษาอังกฤษไม่ออก เธอจึงอัดคลิปเสียงบอกเลิกใส่ธัมป์ไดรว์แล้วขอร้องให้ “เพลง” ช่วยไปเปิดแปลให้ “ยิม” ฟัง

เมื่อ “ยิม” รู้ว่าถูกบอกเลิกก็โมโหมาก เขาพาลโวยวายใส่ “เพลง” ว่าเป็นคนสอนภาษาอังกฤษให้แฟนเขา จนเป็นต้นเหตุให้เธอทิ้งเขาไป ต่อมาไม่นาน “ยิม” ตัดสินใจไปสมัครเรียนภาษาอังกฤษกับ “เพลง” โดยหวังจะตามไปง้อแฟนที่อเมริกา “เพลง” ไม่อยากรับสอนแต่สุดท้ายก็ต้องจำใจยอม

ทั้งคู่ใช้ร้านกาแฟเป็นที่เรียนหนังสือ แต่ด้วยความที่ “ยิม” เป็นเพียงช่างเทคนิกในโรงงาน ระดับความรู้ภาษาอังกฤษของ “ยิม” จึงต่ำมาก “เพลง” จึงต้องพยายามงัดสารพัดวิธีออกมาสอน “ยิม” ไม่ว่าจะเป็นการฝึกออกเสียง การใช้เหตุการณ์สมมติ หรือแม้แต่การให้อ่านหนังสือนิทาน การสอนเป็นไปอย่างยากลำบาก กระนั้น “ยิม” ก็ยังคงพยายามฝึกตัวเองอย่างไม่ท้อถอยจน “เพลง” เริ่มเห็นความตั้งใจในตัวเขา

ในขณะเดียวกัน “เพลง” ก็ไปตกหลุมรักกับ “คุณพฤกษ์” (ตู่ – ภพธร สุนทรญาณกิจ) ลูกศิษย์คอร์สภาษาอังกฤษเพื่อธุรกิจ หนุ่มหล่อ ชาติตระกูลดี ผู้ซึ่งเป็นดั่งชายในฝันของผู้หญิงทุกคน ด้วยความเป็นคนโรแมนติก “คุณพฤกษ์” มักจะขยันหาอะไรมาทำเซอร์ไพรส์ “เพลง” อยู่บ่อยๆ จนบางที “เพลง” ก็แอบขำในความพยายามของ “คุณพฤกษ์” จนในที่สุดทั้งสองก็ตกลงเป็นแฟนกัน

ทว่าระหว่างที่การเรียนการสอนของ “เพลง” และ “ยิม” ค่อยๆ ผ่านไปในแต่ละวัน ทั้งคู่ต่างก็ค่อยๆ ได้เรียนรู้นิสัยและตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน จนทำให้คนซึ่งเคยดูเหมือนเกลียดกันในตอนแรก กลับค่อยๆ พอกพูนความรู้สึกดีๆ ต่อกันขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ทันรู้ตัว แล้วความสัมพันธ์ระหว่างติวเตอร์และลูกศิษย์คู่นี้จะลงเอยเช่นไร?

เมย์ไหน … ไฟแรงเฟร่อ (2558)

รายได้ : 74.12 ล้านบาท

“ป๋อง” (แบงค์-ธิติ) เป็นนักเรียนมัธยมปลายชั้น ม.5 ที่ทฤษฎีว่า “ไม่ว่าโรงเรียนไหนๆ นักเรียนในโรงเรียนจะถูกแบ่งออกเป็นฐานันดรต่างๆ” อย่างไม่มีทางเลือก โดยจะสังเกตได้ง่ายมากเวลามีกีฬาสี ไล่ตั้งแต่ประธานสีสุดป๊อป เชียร์ลีดเดอร์หน้าตาดีเฟร่อ นักกีฬาหุ่นแซ่บ อันธพาลที่คอยแต่แกล้งคนอื่น กองเชียร์บนแสตนด์ จนถึงฐานันดรต่ำที่สุดคือ พวกไร้ตัวตน ซึ่งเป็นฐานันดรที่ “ป๋อง” สังกัดอยู่ คำอธิบายง่ายๆ สำหรับฐานันดรนี้ก็คือ ไม่ขึ้นแสตนด์ยังไม่มีใครรู้เลย

การใช้ชีวิตมัธยมอย่างไร้ตัวตนไม่ใช่เรื่องทุกข์ยากสำหรับ “ป๋อง” หากแต่มันเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงมากเมื่อ “ป๋อง” ดันไปแอบชอบ “มิ้ง” (ฟรัง-นรีกุล) สาวห้องคิงน่ารักฟรุ้งฟริ้ง ว่าที่ประธานสีคนต่อไป “ป๋อง” ได้แต่แอบมอง “มิ้ง” จากที่ไกลๆ แล้วเก็บเอามาวาดมโนเรื่องราวเอาเองว่าได้คุยกับ “มิ้ง” เป็นแฟนกับ “มิ้ง” ลงในการ์ตูนที่เขาหมกมุ่นวาดแทนไดอารีอยู่ทุกวัน

สิ่งที่ “ป๋อง” ไม่รู้คือ ในโรงเรียนนี้ไม่ได้มีแค่เขาเท่านั้นที่ไร้ตัวตน ยังมีเด็กผู้หญิงที่มีชื่อเล่นโหลสุดๆ ว่า “เมย์” อยู่อีกคน เธอไม่ใช่ทั้ง “เมย์แว่น” (เมย์ที่ใส่แว่นหนาเตอะ) ไม่ใช่ “เมย์ลีด” (เมย์ที่เป็นลีด) ไม่ใช่ “เมย์เปิ้ล” (เมย์ที่มีแฟนชื่อ “เปิ้ล”) แต่ “เมย์” คนนี้ เป็นคนหน้านิ่ง ไร้อารมณ์ ไม่มีเพื่อน ไม่ทำกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อมีคนพูดถึงเธอ ทุกคนจะพร้อมใจกันขมวดคิ้วพร้อมถามกลับว่า “เมย์ไหนวะ?”

“เมย์ไหน” (ปันปัน-สุทัตตา) ตั้งใจไร้ตัวตน เพราะเธอมีความลับบางอย่าง นั่นก็คือ เมื่อไหร่ที่เธอเหนื่อย ตกใจ หรือตื่นเต้นจนหัวใจเต้นถึง 120 ครั้งต่อนาที ร่างกายของเธอจะปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาเหมือนกับปลาไหลไฟฟ้า!

ด้วยเหตุนี้ “เมย์ไหน” จึงตั้งใจที่จะทำตัวให้เงียบเชียบที่สุด ยิ่งจบชั้นมัธยมไปโดยไม่มีใครจำได้ยิ่งดี “เมย์ไหน” แอบชอบ “พี่เฟม” (ต่อ-ธนภพ) รุ่นพี่ ม.6 ที่เป็นทั้งประธานสีและนักกีฬาสุดยอดฐานันดรของโรงเรียนมานาน แต่เธอก็รู้ตัวดีว่าความรักของเธอมันเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ “เมย์ไหน” เข้าใกล้ “พี่เฟม” เธอจะต้องใจเต้นรัวๆ จนเผลอปล่อยไฟฟ้าออกมาทุกที เป้าหมายทำตัวไร้ตัวตนและแอบรักระยะไกลของ “เมย์ไหน” ก็คงจะสำเร็จ ถ้าไม่ใช่เพราะ “เมย์ไหน” เกิดไปช็อต “ป๋อง” จน “ป๋อง” รู้ทั้งความลับและความรักของเธอเข้า “ป๋อง” สัญญาจะเก็บรักษาความลับเรื่องไฟฟ้าของ “เมย์ไหน” ไว้ แลกกับการที่ “เมย์ไหน” ต้องร่วมมือกับเขาเพื่อช่วยกันเอาชนะใจทั้ง “มิ้ง” และ “พี่เฟม” ให้ได้

ความรักระดับไร้ตัวตนของทั้ง “เมย์ไหน” และ “ป๋อง” จึงเกิดความหวังมลังเมลืองขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ!

ฟรีแลนซ์ … ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ  (2558)

รายได้ : 86.7 ล้านบาท

“ยุ่น” (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) ชายวัย 30 คือฟรีแลนซ์มือรีทัชรูปที่งานยุ่งที่สุดในประเทศไทย ความสุขของฟรีแลนซ์อย่าง “ยุ่น” นอกจากการได้เห็นงานเต็มปฏิทิน ไม่เว้นวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดราชการแล้ว ก็คืองานเร่ง-งานด่วน งานที่ลูกค้าแก้ไม่รู้จบ มันเป็นความท้าทายที่นักรบมืออาชีพแบบเขาต้องทำให้ได้โดยไม่มัวไปเสียเวลาด่าลูกค้า จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไม “เจ๋” (วิโอเลต วอเทียร์) โปรดิวเซอร์รุ่นน้องจากเอเจนซี่โฆษณาถึงจ่ายงานให้เขาทำอย่างสม่ำเสมอ จนเต็มปฏิทินล่วงหน้าไปหลายเดือน ทุกครั้งที่ “เจ๋” โทรมา “ยุ่น” จะรู้ว่า ความสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง

แต่มีลูกค้าอยู่รายหนึ่งที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้ นั่นคือ ร่างกายของเขาเอง หลังจากผ่านการอดนอน 5 คืนติดเพื่อทำงานชิ้นหนึ่ง “ยุ่น” เริ่มมีผื่นแดงๆ ขึ้นตามตัว ร่างกายบังคับให้เขาไปโรงพยาบาล เขาไม่อยากไปเลยเพราะเสียเวลาทำงาน ร่างกายเลยแจกผื่นให้ลามใส่ตัวเขามากขึ้นแม่งเลย เขาจึงต้องเดินทางไปโรงพยาบาลรัฐ (ด้วยความงก ก็ฟรีแลนซ์ต้องรู้จักเซฟเงินเพื่ออนาคตที่ไม่มั่นคง)

ที่นั่นเขาได้เจอกับลูกค้าอีกคน คือ “หมออิม” (ใหม่ – ดาวิกา โฮร์เน่) “หมออิม” ก็เหมือนหมอโรงพยาบาลรัฐทั่วไปที่ยุ่งจนหัวฟู แต่ที่ไม่เหมือนหมอคนอื่นๆ คือ เธออายุพอๆ กับ “ยุ่น” และ “ยุ่น” รู้สึกดีกับเธอจนถึงขั้นเขิน การพบกันในแต่ละเดือนของ “ยุ่น” และ “หมออิม” เปรียบเสมือนการออกเดทที่ทั้งคู่มีเวลาพบกันเพียงแค่ 15 นาทีตามเวลาตรวจ เนื่องจากโรงพยาบาลรัฐคนไข้เยอะ

“ยุ่น” ต้องรออีก 30 วัน กว่าที่จะได้เจอหมอครั้งต่อไป และวันนัดก็ต้องรอคิวหน้าห้องตรวจอีก 3 ชั่วโมง เนื่องจากคนไข้เยอะอีกเช่นกัน ตั้งแต่ไปหา “หมออิม” “ยุ่น” ก็รู้สึกว่าตัวเองทำงานช้าลงอย่างไม่มีเหตุผล “เจ๋” ต้องตามมากระชากงานจากเขาบ่อยขึ้น “ยุ่น” ไม่รู้เป็นเพราะอะไร การทำงานช้าลงนี่เป็นอาการข้างเคียงของอะไรหรือเปล่า

… และการคิดถึงใครสักคนระหว่างทำงานนี่เป็นโรคที่รักษาให้หายได้หรือไม่

เอกสารอ้างอิง :

01. http://www.nangdee.com/
02. http://www.okmd.or.th/
03. http://movie.kapook.com/view134179.html
04. https://th.wikipedia.org/wiki/จีเอ็มเอ็ม_ไท_หับ

ใส่ความเห็น