Serial Killers: 13 ฆาตกรต่อเนื่องสุดโหด !

คำเตือน : เนื้อหาบางส่วนมีการกล่าวถึงเรื่องของยาเสพย์ติด เพศและความรุนแรง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

ฆาตกรต่อเนื่อง (Serial Killer) หมายถึง บุคคลที่ก่อคดีฆาตกรรมขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในลักษณะของการฆ่าครั้งละคนหรือมากกว่านั้น และกระทำต่อไปเรื่อยๆ โดยเป็นเหตุการณ์ที่แยกกัน ส่วนมากฆาตกรมักประกอบเหตุด้วยตัวคนเดียว แต่ก็ไม่เสมอไป

 Nikolai Dzhumagaliev

Metal Fang

“นิโคไล เซอร์มอนเกลีฟ” เป็นฆาตกรต่อเนื่องชาวคาซัคสถาน ก่อคดีฆาตกรรมในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 เขามีฉายาว่า “เขี้ยวเหล็ก” เนื่องจากฟันแท้ของเขาหลุดหมดปาก เขาจึงต้องใส่ฟันที่ทำจากโลหะแทน “นิโคไล” เป็นคนสุภาพ เรียบร้อย แต่งตัวดี ดูน่าคบหา นั่นทำให้หลายคนหลงคารมและตายใจ

“นิโคไล” มักใช้ข้อดีของเขาให้เป็นประโยชน์ในการทำให้สาวๆ หลงคารม หญิงสาวที่หลงคารมของเขาจะกลายเป็นเหยื่อสวาทของเขา ไม่มีเหยื่อรายไหนรอดพ้นเงื้อมมือของเขาไปได้ และเมื่อถึงเวลาฆ่าเขาจะใช้มีดปลายแหลมและขวานขนาดเล็กในการตัด ฟัน ชำแหละเนื้อของเหยื่ออย่างรวดเร็วเสมอ ถ้ามีเวลา “นิโคไล” จะปรุงอาหารจากเนื้อของเหยื่อ ณ ที่สังหารเลยทีเดียว เขาตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้กัดแทะเนื้อของเหยื่อ เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว เขาจะนำถุงบรรจุเนื้อติดมือกลับไปกินอยู่ที่บ้านต่อ

ช่วงที่ “นิโคไล” ก่อเหตุคดีฆาตกรรมเป็นช่วงที่ประเทศคาซัคสถานยังคงเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต คนส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ดังนั้น เนื้อสัตว์จึงมีราคาแพงมากสำหรับชาวบ้าน บางคนแทบไม่ได้กินเนื้อมานานเป็นเดือน อย่างเก่งก็ได้แค่ต้มมันฝรั่ง ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งโปรตีนแบบคนจนที่พอจะประทังชีวิตไปได้ เมื่อ “นิโคไล” นำเนื้อที่เขาอ้างว่าเป็นเนื้อสัตว์มาแจกจ่าย ผู้คนที่หิวโหยในละแวกบ้านทุกคนจึงไม่มีใครปฏิเสธและไม่มีใครสงสัย

“นิโคไล” ลอยนวลถึง 10 ปีเต็ม แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็พลาดท่าจนได้ เมื่อเขาเดินทางเข้าเมืองเพื่อร่ำสุรากับเพื่อนหน้าใหม่ 2 คน และชวนเพื่อนใหม่ทั้งสองคนกลับไปกิน “อาหารว่าง” กันต่อที่บ้านของเขา เมื่อกลับไปถึงบ้าน “นิโคไล” อยู่ในสภาพเมาจนแทบไม่ได้สติ เพื่อนใหม่ทั้งคนจึงถือวิสาสะเข้าครัวไปหาของกิน แต่ดันพบเข้ากับศีรษะของผู้หญิงวางอยู่บนเขียง พร้อมกับไส้วางขดอยู่ใกล้ๆ ชายทั้งสองคนจึงรีบไปแจ้งตำรวจให้มาลาก “นิโคไล” เข้ากรงทันที … และเรื่องราวของคนกินคนอีกรายก็เผยออกไปทั่วคาซัคสถานในเวลาต่อมา

“นิโคไล” ถูกส่งฟ้องศาลและในการพิจารณาคดีที่ศาล นักจิตวิทยาลงความเห็นว่า “นิโคไล” ไม่อยู่ในสภาพที่จะสู้คดีความได้และลงความเห็นว่าเขามีอาการทางจิตต้องบำบัด ผลสุดท้ายศาลมีคำสั่งให้ส่งตัว “นิโคไล” ไปบำบัดจิตที่สถาบันโรคจิต เมืองแทสเค้นท์ แต่ในปี ค.ศ. 1989 “นิโคไล” ก็หลบหนีออกจากสถานบำบัดและหายสาบสูญไปร่วมสองปี แต่เขาก็มาถูกจับได้อีกครั้งเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1991 พร้อมกับถูกส่งตัวไปรับการบำบัดฟื้นฟูจิตใจอีกครั้งที่เมืองเฟอร์กานา ประเทศอุซเบกีสถาน

“นิโคไล” ได้รับการรักษาอาการทางจิตและถูกปล่อยตัวออกมาเป็นอิสระในปี ค.ศ. 1994 โดยไม่ถูกดำเนินคดีทางกฎหมายอาญา ทั้งๆ ที่ตามกฎหมายเขียนไว้ว่า ถ้าเขากลับเป็นปกติแล้วจะต้องได้รับโทษแบบคนปกติหลังการบำบัด

Alexander Pichushkin

The Chessboard Killer, The Bitsa Park Maniac

“อเล็กซานเดอร์ ปิชุสกิน” ถูกสื่อมวลชนของรัสเซียตั้งฉายาให้ว่า “ฆาตกรกระดานหมากรุก” เนื่องจากในระยะแรกฆาตกรรายนี้มักฆ่าเหยื่อของเขา ซึ่งเป็นคนแก่ไร้บ้าน ที่สวนสาธารณะบิทเซฟสกี ทางตอนใต้ของกรุงมอสโก โดยเขาจะชวนเหยื่อมานั่งกระดกวอดก้าและเล่นหมากรุกด้วยกัน (คนรัสเซียนิยมหมากรุกกันมาก) รอจังหวะให้เหยื่อเมาก็จะใช้ค้อนทุบหัวแล้วโยนลงน้ำ เขาบอกตำรวจว่า ความจริงแล้วเขาตั้งใจจะฆ่าให้ได้ 64 ศพ เท่าจำนวนตาหมากรุก แต่โชคไม่ดีที่โดนจับได้ซะก่อน !

“ปิชุสกิน” ถูกจับได้ในปี ค.ศ. 2006 และถูกตั้งข้อหาฆาตกรรม 49 ศพ และพยายามฆ่าอีก 3 ราย อย่างไรก็ตาม เขาได้ร้องต่อศาลอย่างไม่สะทกสะท้านขอให้เพิ่มจำนวนเหยื่อที่เขาสังหารอีก 11 ศพ เนื่องจากเขาบอกว่ามันเป็นการไม่ยุติธรรมที่จะลืมเหยื่อเหล่านั้น ซึ่งหากเป็นอย่างที่เขากล่าวอ้างจริง จะมีเหยื่อจากการฆาตกรรมทั้งสิ้น 60 ศพ นั่นจะทำให้เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่สังหารเหยื่อมากที่สุดในรัสเซีย แซงหน้า “อันเดร ชิกาติโล” เจ้าของฉายา “นักชำแหละแห่งรอสตอฟ” ทันที !

Dennis Rader

BTK Killer, BTK Strangler

“เดนนิส เรเดอร์” เป็นฆาตกรต่อเนื่องจากรัฐแคนซัส เจ้าของฉายา “BTK Killer” เจ้าตัวบอกว่า BTK ย่อมากจากคำว่า Bind (มัด) Torture (ทรมาน) และ Kill (ฆ่า)

ภายหลังจากคดีฆาตกรรมครอบตัวโอเทโร่ ตำรวจได้ประกาศภาพเหมือนของคนร้าย หากแต่ไม่มีเบาะแสใดๆ เพิ่มเติม จนกระทั่งเก้าเดือนหลังจากคดีดังกล่าว คนร้ายได้ส่งจดหมายไปยังหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเพื่อเล่ารายละเอียดของการฆ่าเสียถี่ถ้วนเพื่อยืนยันว่าเขาเป็นตัวจริง ตอนนี้เองที่คนร้ายบอกชื่อตัวเองว่า BTK นอกจากนี้ “เรเดอร์” ยังท้าทายตำรวจต่างๆ นานา เช่น การทิ้งตุ๊กตาที่มีถุงครอบศรีษะและมัดมือไขว้หลังไว้ในที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นสภาพศพของเหยื่อที่ถูกเขาสังหาร นอกจากนี้ เขายังได้ส่งรหัสที่มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับคดี ในรหัสดังกล่าวมีแม้แต่ “RADER” ซึ่งเป็นชื่อจริงของเขาซ่อนเอาไว้ด้วย

การจับกุม “เรเดอร์” เกิดขึ้นหลังจากที่เขาส่งพัสดุไปยังสถานีโทรทัศน์ เนื่องจากแผ่นดิสก์ที่เขาส่งไปมีข้อมูลของคอมพิวเตอร์ที่ใช้บันทึกหลงเหลืออยู่ หลังจากการตรวจสอบพบว่าเป็นของโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองและชื่อของ “เรเดอร์” ก็ปรากฏขึ้นในการสืบสวนเป็นครั้งแรก … ชาวเมืองที่ทราบข่าวการจับกุม “เรเดอร์” ต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาทำงานอยู่ในบริษัทรักษาความปลอดภัยมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974 (ปีที่เขาเริ่มก่อคดีฆาตกรรม) เป็นผู้ดูแลคณะลูกเสือของเมืองและยังเคยกระทั่งออกทีวีท้องถิ่นเพื่อเรียกร้องให้ชาวเมืองกวดขันเรื่องความปลอดภัยด้วยซ้ำ

“เรเดอร์” ให้การว่าเขามักจะเดินหาเหยื่อไปเรื่อยๆ ระหว่างการเดินเล่น เมื่อหมายตาใครแล้วก็จะสะกดรอยตามคนๆ นั้นไปจนถึงบ้าน และเฝ้าจับตามองชีวิตประจำวันของเหยื่อจนกว่าจะมั่นใจว่าควรจะลงมือในเวลาไหน

ศาลแคนซัสมีการนำโทษประหารกลับมาใช้เมื่อปี ค.ศ. 1994 หากคดีทั้งหมดของ “เรเดอร์” เกิดก่อนนั้นทั้งสิ้น เขาจึงถูกตัดสินเพียงจำคุกตลอดชีวิต มีเสียงวิจารณ์ว่าเพราะ “เรเดอร์” รู้เช่นนี้รึเปล่าจึงยอมรับสารภาพแต่โดยดี เนื่องจากปัจจุบันเขาก็มีอายุกว่า 60 ปีแล้ว อาจจะอยากใช้ชีวิตที่เหลืออย่างคนดังก็เป็นได้

Gary Ridgway

The Green River Killer

ช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ผู้คนในเมืองซิแอตเทิลและทาโคน่า รัฐวอชิงตัน ต่างต้องเผชิญกับความน่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน เมื่อผู้เคราะห์ร้ายมากกว่า 71 ราย ตกเป็นเหยื่อฆาตกรต่อเนื่อง นามว่า “ฆาตกรแห่งแม่น้ำกรีน” และเขาคือฆาตกรต่อเนื่องที่น่ากลัวที่สุดคนหนึ่ง ที่น้อยคนนักจะเทียบชั้นกับเขาได้ !

เรื่องราวของ “ฆาตกรแห่งแม่น้ำกรีน” เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1982 เมื่อมีการพบศพผู้หญิงรายหนึ่งลอยน้ำมาตามแม่น้ำกรีน แต่การสืบสวนเต็มไปด้วยความล่าช้า เนื่องจากไม่พบหลักฐานใดๆ ที่เป็นประโยชน์ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีการพบศพผู้หญิงอีกมากมายที่แม่น้ำดังกล่าว

กระทั่งมีการพบศพของโสเภณีสามราย ก็ทำให้ตำรวจเชื่อว่าคดีฆาตกรรมที่เกิดขี้นอาจเป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกัน เมื่อรู้ว่ามีฆาตกรต่อเนื่องเกิดขึ้นก็ได้มีการจัดตั้งกองกำลังตำรวจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาของเขตคิง เพื่อล่า “ฆาตกรแห่งแม่น้ำกรีน” โดยมี “ผู้พันริชาร์ด คราสเค” หัวหน้าแผนกอาชญากรรม และ “นักสืบเดฟ ไรเชิร์ต” เป็นผู้นำทีม พวกเขาขอความสนับสนุนจากนักสืบที่ชำนาญเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องอีกหลายคนจาก FBI ในจำนวนนั้นมีทั้ง “จอห์น ดักลาส” และ “บ็อบ เคบเพล” ผู้ประสบผลสำเร็จในการตามล่า “เท็ด บันดี”

อย่างไรก็ตาม ปลายปี ค.ศ. 1986 เจ้าหน้าที่กองกำลังฯ ถูกลดจำนวนลงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ การสืบสวนก็เริ่มอ่อนลง จน “คดีฆาตกรแห่งแม่น้ำกรีน” ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา คดีนี้ถูกเก็บเข้ากรุนานถึง 20 ปี กระทั่ง “นักสืบไรเชิร์ต” ที่เคยสืบคดีดังกล่าวได้ทำการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ พร้อมอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้าช่วย หลักฐานที่ถูกเก็บรวบรวมในปี ค.ศ. 1987 ทุกชิ้นที่เกี่ยวกับฆาตกรถูกนำไปตรวจสอบในห้องแล็บใหม่อีกครั้ง ตำรวจได้นำตัวอย่างน้ำอสุจิที่พบในศพเหยื่อไปตรวจพร้อมกับน้ำอสุจิที่เก็บจากผู้ต้องสงสัย ผลการตรวจสอบพบว่า น้ำอสุจิที่พบในศพเข้ากันกับตัวอย่างที่เก็บจากผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งที่ชื่อ “แกรี่ ริดจ์เวย์”

วันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2001 “ริดจ์เวย์” ที่ขณะนั้นทำงานเป็นพนักงานช่างทาสีสเปรย์บริษัทแห่งหนึ่ง ถูกตำรวจสกัดจับเอาไว้ขณะที่เขาขับรถบรรทุกและถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมผู้หญิง 4 ราย ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผลจากการตรวจสอบ DNA จากน้ำอสุจิและสีสเปรย์ที่พบบนตัวศพล้วนเชื่องโยงมาถึงเขา ต่อมาเขาได้รับสารภาพต่อศาลเพื่อต่อรองและหลีกเลี่ยงโทษประหาร เหลือเพียงจำคุกตลอดชีวิตและไม่มีทัณฑ์บน

เขากล่าวว่า “ผมเลือกโสเภณีเป็นเหยื่อเพราะผมเกลียดโสเภณีที่สุดและไม่ต้องการจ่ายเงินค่าหลับนอนด้วย ผมรู้ว่าคนพวกนี้จะไม่มีใครแจ้งว่าสูญหายในทันที อีกทั้งผมสามารถฆ่าได้มากเท่าที่ต้องการโดยไม่ถูกจับกุม” บางครั้งเขาทำการเกลี้ยกล่อมเหยื่อให้ติดตามเขาไปโดยใช้รูปถ่ายของลูกชายเรียกร้องความสนใจเพื่อหลอกล่อให้เหยื่อตายใจ แล้วร่วมหลับนอนด้วย ก่อนจะรัดคอเหยื่อด้านหลังจนขาดอากาศหายใจตาย

Peter Kurten

The Vampire of Düsseldorf

เรื่องของ “ปีเตอร์ คูร์เทน” อาจไม่เป็นที่รู้จักกันดีเท่าใดนัก แต่ในแง่อาชญวิทยาแล้ว นักวิจัยจัดให้คดีที่เมืองดุสเซลดอร์ฟเป็นกรณีศึกษาของศตวรรษที่ 20 คู่กับคดีของ “Jack The Ripper” เลยทีเดียว ขณะที่ “Jack The Ripper” กลายเป็นตำนานด้วยปริศนา คดีของ “ปีเตอร์ คูร์เทน” อาจนับได้ว่าเขาเป็นฆาตกรต่อเนื่องรายแรกที่ถูกทำวิจัยคดีในแง่จิตวิทยาอย่างละเอียดเลยก็ว่าได้

กล่าวกันว่าสาเหตุที่ทำให้ “คูร์เทน” เติบโตไปเป็นฆาตกรผู้หาความสำราญจากการฆ่านั้นมาจากพ่อของเขาที่ติดเหล้าและมักมากในกาม อีกทั้งชอบใช้กำลังกับลูกๆ ของตัวเอง กระทั่งพ่อของเขาได้ข่มขืนลูกสาวคนโตและถูกจับเข้าคุกไป แต่ตอนนั้นอุปนิสัยของ “คูร์เทน” ก็บิดเบือนไปจากปกติเรียบร้อยแล้ว

ช่วงวัยรุ่น “คูร์เทน” ทำงานเป็นช่างตีเหล็กที่เมื่องอื่น แต่ทำอยู่ได้ไม่นานเขาก็ขโมยเงินหนีไปและเริ่มอาชีพหัวขโมย ช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1900 – 1913 “คูร์เทน” เข้า-ออกคุกเป็นกิจวัตร เขาเคยถูกจับถึง 17 ครั้งและใช้เวลากว่า 27 ปี ซึ่งเป็นครึ่งชีวิตของตัวเองอยู่หลังกรงเหล็ก อาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงที่ “คูร์เท่น” ค่อยๆ ฟูมฟักความโหดเหี้ยมในใจของเขาให้เติบโตขึ้นมาทีละน้อยก็ว่าได้

“คูร์เทน” แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อปี ค.ศ. 1921 ซึ่งเป็นผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจและได้ย้ายกลับไปยังเมืองดุสเซลดอร์ฟอีกครั้งในปี ค.ศ. 1925 ช่วงสามปีแรก เขาก่อคดีทำร้ายร่างกายด้วยการบีบคอ 3 คดี และคดีวางเพลิงอีก 17 คดี และในปี ค.ศ. 1929 คดี “ผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟ” ก็เปิดฉากขึ้น

การจับกุม “คูร์เทน” เกิดขึ้นโดยบังเอิญเมื่อ “คุณนายบรูกแมน” ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งในปี ค.ศ. 1930 จดหมายฉบับดังกล่าวเป็นจดหมายที่ “แมรี่ บูดรีส” ตั้งใจส่งถึง “คุณนายบรูกเนอร์” แต่ดันชื่อสะกดผิด เนื้อหาของจดหมายเล่าถึงประสบการณ์อันน่ากลัวที่ “แมรี่” ประสบเมื่อสองวันก่อน ในจดหมายกล่าวว่า ขณะที่ “แมรี่” อยู่ที่สถานีรถไฟดุสเซลดอร์ฟ เธอถูกชายคนหนึ่งเข้าไปทักและเสนอความช่วยเหลือในการหาที่พักให้ ขณะที่ “แมรี่” กำลังลำบากใจ “คูร์เทน” ก็เข้าไปช่วยเหลือเธอไว้และไล่ชายคนดังกล่าวไป จากนั้นเขาได้ชวน “แมรี่” ไปยังห้องพักและเลี้ยงน้ำชา พร้อมทั้งช่วยหาที่พักให้อีกด้วย แต่ขณะที่เขาพาเธอไปส่งโรงแรม “คูร์เทน” ก็ข่มขืน “แมรี่” ในป่าข้างทาง เขาตั้งใจจะใช้เชือกรัดคอเธอให้ตาย แต่เกิดเปลี่ยนใจและถาม “แมรี่” ว่าเธอจำทางไปห้องพักของเขาได้หรือไม่ “แมรี่” ตอบว่าจำไม่ได้ เขาจึงพาเธอไปส่งที่สถานีรถไฟและหายตัวไป

ทันที่ที่อ่านจดหมายจบ “คุณนายบรูกแมน” รีบนำจดหมายดังกล่าวไปส่งให้ตำรวจทันที และ “แมรี่” ถูกเรียกตัวมาให้การ ซึ่งที่จริงแล้วเธอจำที่พักของ “คูร์เท่น” ได้ ตำรวจจึงไปยังห้องพักดังกล่าว แต่ตอนนั้น “คูร์เทน” ไม่อยู่บ้านพอดี … หลายวันให้หลัง “คูร์เทน” กลับมาบ้าน (ที่จริงแล้วเขาแอบเห็นจากข้างนอกตอนที่ตำรวจมาบ้าน) และบอกกับภรรยาว่าเขานี่แหละคือ “ผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟ” และบอกให้ภรรยาไปแจ้งความจับเขาเพื่อที่เธอจะได้รับเงินค่าหัวของเขาเอง ถือเป็นการปิดฉากคดีผีดูดเลือดแห่งดุสเซลดอร์ฟลงในที่สุด

“คูร์เทน” ถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตินเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1931 เขาได้กล่าวไว้ว่า ความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็คือการได้ยินเสียงเลือดของตัวเองหลั่งออกมาจากคอเมื่อกิโยตินได้ตัดหัวของเขาไปแล้ว !

Anatoly Yuriyovych Onoprienko

Citizen O,  The Terminator,  The Beast of Ukraine

16 เมษายน ค.ศ. 1996 ตำรวจสองนายได้จับกุมชายคนหนึ่งที่เมืองเมืองซิโทเมีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศยูเครน ชายคนดังกล่าวถูกจับในข้อหามีอาวุธปืนยาวล่าสัตว์ในครอบครองแบบผิดกฎหมาย แต่เมื่อตำรวจทำการตรวจสอบทรัพย์สินอื่นๆ ก็พบว่าอาวุธหลายชนิดมีหมายเลขตรงกับรายการของที่หายไปของเหยื่อจากคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว ต่อมาชายคนดังกล่าวได้รับการจารึกว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของยูเครน  เขามีชื่อว่า “อนาโตลี อโนพรินโก”

“อโนพรินโก” สูญเสียแม่ไปตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ส่วนพ่อซึ่งเคยเป็นทหารกล้าในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้ เขาจึงถูกส่งไปให้ญาติเลี้ยงดู สุดท้ายเขาก็ถูกโยนทิ้งขว้างไปให้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ายูเครนช่วยเลี้ยงดู ซึ่ง “อโนพรินโก” ได้เล่าภายหลังว่าสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้านั้นถือว่าเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของเขา เขาเติบโตด้วยความเกลียดชังเพราะเขาเป็นเด็กที่ไม่มีใครต้องการ

ดูเหมือนว่า “อโนพรินโก” จะเป็นคนที่เกลียดครอบครัวที่อบอุ่น เพราะว่ารูปแบบการฆ่าของเขาเป็นการฆ่าแบบยกครัว โดยเขาจะเลือกบ้านที่อยู่ห่างไกลจากชุมชน จากนั้นเขาก็บุกรุกบ้านของเหยื่อและจัดการฆ่าผู้อยู่อาศัยในบ้านทั้งหมด บางครั้งเขาฆ่าพยานผู้โชคร้ายที่เห็นเขาระหว่างทางกลับจากการก่อคดีฆาตกรรมด้วย หลายครอบครัวถูกฆ่าติดๆ กัน แต่เมื่อตำรวจเข้ามาตรวจและรักษาความปลอดภัยบริเวณที่เกิดเหตุ เขาก็จะหนีไปที่หมู่บ้านอื่นๆ และก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่องต่อไป

ขณะถูกคุมขัง “อโนพรินโก” สารภาพว่าเขาได้ฆ่าคนแปดคนระหว่างปี ค.ศ. 1989-1995 หากแต่เมื่อเขาถูกรุกหนัก เขาก็สารภาพว่าเขาฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปถึง 52 คน โดยเขาอ้างว่าเขาได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเสียงภายในหัวที่บอกให้เขาฆ่าคน อย่างไรก็ตาม “อโนพรินโก” ปฏิเสธว่าเขาไม่ได้บ้า เขาอ้างว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รับเลือก มีอำนาจวิเศษ มีพลังจิตแข็งแกร่ง สามารถควบคุมสัตว์ผ่านกระแสจิตได้

เมื่อ “อโนพรินโก” ปรากฏตัวในชั้นศาล เขาถูกขังไว้ในกรงขนาดใหญ่สีน้ำตาลเพื่อป้องกันเขาจากประชาชนและญาติของเหยื่อที่ต่างโกรธแค้นจนอยากฆ่าฉีกเขาเป็นชิ้นๆ นอกจากนี้ ศาลต้องนำเครื่องจับโลหะมาตรวจคนก่อนเข้าศาลเพื่อความปลอดภัยทุกครั้งที่พิจารณาคดี

ขณะที่ “อโนพรินโก” ยังคงเยือกเย็น ไม่รู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป เขาอธิบายรายละเอียดของคดีที่เขาก่ออย่างไม่สะทกสะท้าน แม้ว่าเขาจะพูดถึงเสียงพระเจ้าที่เขาได้ยินในหัวที่บงการให้เขาฆ่าคน แต่จากการตรวจสอบอาการทางจิตก็พบว่า เขาไม่มีอาการของโรคจิตเวช

“อโนพรินโก” ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงทุกข้อกล่าวหาและถูกตัดสินให้ประหารชีวิต แต่เนื่องจากยูเครนได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้ว เขาจึงถูกตัดสินใจให้ต้องจำคุกแทน อย่างไรก็ตาม เมื่อ “อโนพรินโก” ได้ยินคำตัดสิน เขาก็ไม่ได้รู้สึกสำนึกเสียใจแต่อย่างใด “ถ้าผมออกจากคุกผมก็จะเริ่มฆ่าคนอีกครั้ง” อนาโตลีกล่าวทิ้งท้าย

Pedro Alonso Lopez

The Monster of the Andes

“ผมจะหาเหยื่อตามท้องตลาด เหมือนกับการเลือกผัก-ปลา เหยื่อต้องเป็นเด็กที่ดูน่ารัก บางครั้งผมต้องเฝ้ารอ 2-3 วัน เพื่อรอให้เธออยู่คนเดียว ผมจะให้ของมีค่าเล็กน้อยแก่เธอ พาเธอออกไปนอกเมือง โดยบอกว่าผมมีของจะให้แม่ของเธอ … ผมพาเธอไปที่ลับตาคน ผมขุดหลุมสำหรับเธอเอาไว้ บางทีหลุมนั้นก็มีศพเหยื่อคนก่อนอยู่แล้ว ผมเริ่มโอบกอดเธอและข่มขืนตอนอาทิตย์ลับขอบฟ้า เมื่อถึงจุดสุดยอด ผมเริ่มกำมือรอบลำคอและบีบเต็มแรง … ดวงตาของเธอยอดเยี่ยมทีเดียว ผมดูตาคู่นั้นภายใต้แสงอาทิตย์ มันเปรียบเสมือนช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์ ผมจ้องตาและเห็นแสงที่เป็นประกายก่อนที่จะหายวับไปในพริบตา ช่วงเวลาตายมันช่างน่าหลงใหล ชวนตื่นเต้น คนทั่วไปไม่มีทางเข้าใจหรอก มีแต่คนที่ฆ่าคนจริงๆ เท่านั้นที่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร” “เปโดร อลองโซ โลเปซ” ชายผู้ได้รับฉายาว่า “สัตว์ประหลาดแห่งเทือกเขาแอนเดส” ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1999

“เปโดร” เป็นฆาตกรต่อเนื่องชาวโคลัมเบีย หลายคนเชื่อว่าเขาได้ข่มขืนและฆ่าเด็กสาวและเด็กชายจำนวน 53-300 คน ระหว่างปี ค.ศ. 1969-1980 ก่อนที่จะถูกจับกุมเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1980 หลังถูกจับกุมเขาได้พาตำรวจไปยังหลุมฝังศพของเหยื่อจำนวนถึง 53 ราย ในเอกวาเดอร์ นอกจากนี้ เขายังสารภาพอีกว่าเขาสังหารคนอีก 240 ราย ในประเทศเปรูและโคลัมเบีย

“เปโดร” เป็นลูกชายคนที่ 7 ในบรรดาลูกทั้งหมด 13 คน ในครอบครัวที่แม่เป็นโสเภณี สภาพครอบครัวของเขายังเต็มไปด้วยปัญหา ไม่ว่าจะเป็นความยากจนและความรุนแรง เมื่อเขาอายุได้ 8 ขวบ แม่จับได้ว่าเขาพยายามมีเพศสัมพันธ์กับน้องสาวจึงถูกไล่ออกจากบ้าน

ขณะที่ “เปโดร” ออกมาเผชิญชีวิตข้างนอกเขาก็ถูกชายแปลกหน้าหลอกไปข่มขืนนับครั้งไม่ถ้วน นับแต่นั้นมา “เปโดร” กลายเป็นคนที่มีนิสัยกลัวคนแปลกหน้า ต่อเขาได้ไปอยู่ที่โรงเรียนเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง แต่กลับถูกครูคนหนึ่งที่สอนที่โรงเรียนแห่งนั้นล่วงละเมิดทางเพศ “เปโดร”  จึงขโมยเงินของโรงเรียนแล้วหนีไป

เมื่อสิ้นสุดสงครามกลางเมือง “โปโดร” เริ่มหางานทำ แต่เนื่องเขาไม่มีประสบการณ์การทำงาน ไม่มีความรู้และทักษะอาชีพ เขาจึงถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าทำงานและเมื่อจนตรอกเขาก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางอาชญากรรม แต่ก็ถูกจับข้อหาขโมยรถและขับรถข้ามประเทศ เมื่อ “เปโดร” พ้นโทษออกจากคุกในปี ค.ศ. 1978 เขาก็เดินทางไปยังโคลัมเบีย เอกวาเดอร์ แล้วเริ่มเดินทางไปทั่วเปรู การเดินทางครั้งนั้นทำให้เขาได้พบกับเด็กมากหน้าหลายตาและนั่นทำให้เขาตัดสินใจแก้แค้นในสิ่งที่เขาเคยโดนกระทำมาในอดีต นั่นคือการข่มขืนเด็กผู้หญิงเหมือนที่เขาเคยโดนและต้องทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ !

ภายในเวลาไม่กี่เดือนเด็กหลายคนก็หายตัวไป หากแต่เทางการสันนิษฐานว่าเกิดจากการลักพาตัวโดยเครือข่ายค้ามนุษย์ที่ระบาดอยู่ในภูมิภาคอเมริกาใต้ แต่เมื่อมีเด็กหายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ชาวพื้นเมืองที่นับถือโชคลางก็เริ่มกล่าวถึง “สัตว์ประหลาดแห่งเทือกเขาแอนเดส”

กระทั่งช่วงหลังเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ที่เอกวาดอร์เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1980 “เปโดร” ก็ถูกจับกุมขณะพยายามก่อเหตุ ในตอนแรกเขาปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือใดๆ กับทางการทั้งสิ้น เขานั่งเงียบตลอด ทางการเลยคิดแผนให้เขาเอยปากสารภาพ โดยให้เจ้าหน้าที่ทางการปลอมตัวเป็นบาทหลวงและสวมชุดนักโทษเข้าไปอยู่ในคุกด้วย ซึ่งแผนนี้ประสบผลสำเร็จ เพราะ “เปโดร” เริ่มเชื่อใจบาทหลวงปลอมจนยอมรับสารภาพ แต่ด้วยจำนวนเหยื่อที่มากเกินไป ตอนแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจแทบไม่เชื่อคำสารภาพของเขา แต่เมื่อประสานงานกับทางการเปรูและโคลัมเบียแล้ว ตำรวจก็เริ่มเชื่อขึ้นมาบ้าง จนสุดท้าย “เปโดร” อาสาพาไปพิสูจน์ตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศที่ตนทิ้งศพไว้ ปรากฏว่าตำรวจพบศพเด็กหญิงร่วม 53 ศพ นอกจากนี้ “เปโดร” ยังพาตำรวจไปดูตามจุดต่างๆ อีกกว่า 28 แห่ง แต่ไม่พบศพเพิ่มเติม สันนิษฐานว่าอาจถูกสัตว์มากัดแทะและถูกอุทกภัยพัดพาไปที่อื่น

ปลายปี ค.ศ. 1980 “เปโดร” ถูกตั้งข้อหาฆ่าคนมากกว่าหนึ่งคนและพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต แต่ได้รับสิทธิไต่สวนอีกครั้งที่ศาลในโคลัมเบียและเปรู อย่างไรก็ตาม ประเทศเอกวาดอร์ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิต “เปโดร” จึงได้รับโทษสูงสุด คือ จำคุกตลอดชีวิต แต่เขากลับถูกปล่อยตัวออกจากคุกเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 1994 (เขาถูกจับกุมในปี ค.ศ. 1980) โดยทางการเอกวาเดอร์ไม่ส่งตัวไปลงโทษต่อไปยังโคลัมเบียและเปรู เนื่องจากทั้งสามประเทศไม่มีการตกลงกันในเรื่องส่งผู้ร้ายข้ามแดน

อย่างไรก็ตาม ต่อมา “เปโดร” ถูกจับกุมอีกครั้งฐานเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แล้วส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจโคลัมเบียเพื่อจำคุกอีก 20 ปี ฐานฆาตกรรม เขาถูกตรวจสภาพจิตแล้วพบว่าเขาเป็นคนบ้าและถูกส่งไปยังจิตเวชในโรงพยาบาล ในปี ค.ศ. 1998 และถูกปล่อยตัวเป็นอิสระในปี ค.ศ. 1999 จากนั้นเขาก็หายไป มีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจอยู่เอกวาดอร์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาฆ่าเหยื่อมากที่สุด หรือไม่ก็กลับตัวกลับใจเหมือนที่เขาเคยสัมภาษณ์ในคุกว่า “ถ้าผมได้ออกไป ผมจะกลับตัวเป็นคนดี”

รายงานล่าสุดของตำรวจในปี ค.ศ. 2002 บอกว่าพบเห็นตัวเขาที่เมืองแห่งหนึ่งในประเทศอาร์เจนติน่า โดยปะปนอยู่กับผู้อพยพ และหลังจากนั้นไม่มีใครใครพบเห็นตัวเขาอีกเลย ครอบครัวของเหยื่อพากันตั้งรางวัลกว่า 250,000 ดอลลาร์ ให้กับคนที่จับเขาได้ แต่จนบัดนี้เขาก็ไม่ถูกจับ เชื่อว่าเขาอาจถูกฆ่าตายโดยนายพรานหรืออาจถูกฆ่าโดยญาติของเหยื่อที่โกรธแค้น และจนบัดนี้ชื่อและเรื่องราวของ “สัตว์ประหลาดแห่งเทือกเขาแอนเดส” ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของชาวเอกวาดอร์ โคลัมเบียและเปรู

Edmund Emil Kemper III

The Co-ed Killer,  The Co-ed Butcher

“เอ็ดมุนด์ เคมเปอร์” เกิดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1948 ที่เบอร์แบงค์ รัฐแคลิฟอร์เนีย พ่อของเขาเป็นคนเงียบๆ และมักถูก “คลาเนล” ผู้เป็นภรรยาด่าว่าอย่างไม่เกรงใจเป็นประจำ จนกระทั่งพ่อของเขาทิ้งครอบครัวไปเมื่อ “เคมเปอร์” อายุได้ 7 ปี แม้ว่าเขาจะยังเด็กอยู่ แต่เขาก็แยกแยะออกว่าใครเป็นฝ่ายผิดและแอบสั่งสมความแค้นต่อผู้เป็นแม่ไว้ในใจ

นับจากนั้นมา “เคมเปอร์” เริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ “คลาเนล” รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของเขา เพราะเธอเคยเห็น “เคมเปอร์” เอาค้อนทุบหัวแมวของพี่สาวอย่างไม่ปราณี และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น “คลาเนล” จึงย้ายห้องนอนของเขาจากชั้นสองลงไปอยู่ชั้นใต้ดิน และนั่นก็ยิ่งสร้างความกดดันให้กับ “เคมเปอร์” มากขึ้นไปอีก

พออายุ 14 ปี “เคมเปอร์” ก็หนีออกจากบ้านไปหาพ่อที่แต่งงานใหม่ แต่พ่อของเขาไม่ต้องการให้เขามาอยู่ด้วยจึงพาเขาไปไว้กับปู่-ย่าที่ฟาร์ม และนั่นก็คือความคิดที่ผิดอย่างมหันต์

วันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1964 ขณะที่ “เคมเปอร์” กำลังถือปืนเพื่อที่จะออกไปล่าสัตว์ “มัวเด้ เคมเปอร์” ย่าของเขาก็ทักขึ้นมาตอนที่เขากำลังจะก้าวพ้นประตูว่า “อย่ายิงนกล่ะ” ทันทีที่ย่าของเขาพูดจบ “เคมเปอร์” ก็หันกลับมาแล้วลั่นปืนใส่ย่าของเขาทันทีหนึ่งนัด ก่อนจะใช้มีดหั่นเนื้อแทงร่างของย่าซ้ำๆ จนปลายมีดบิดงอ ซักพัก “เอ็ด เอมิล เคมเปอร์”  ปู่ของเขาก็ขับรถกลับมาถึงบ้าน ขณะที่ปู่ของเขากำลังขนของลงจากรถ “เคมเปอร์” ก็ยิงปู่ของเขาอย่างไม่ลังเล หลังจากนั้นเขาก็โทรศัพท์กลับไปหาแม่และเขาก็ถูกตำรวจจับกุมไป เขาให้การกับตำรวจว่า “ผมแค่อยากรู้ว่าผมจะรู้สึกยังไงเมื่อฆ่าปู่กับย่า”

จิตแพทย์ที่เป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้กล่าวว่า “เคมเปอร์” ถูกพ่อ-แม่ปฏิเสธ การที่เขาฆ่าปู่-ย่าก็คือการล้างแค้นในข้อนั้น หากถึงจะเป็นเช่นนั้นจริง แรงผลักดันสุดท้ายก็ยังคงเป็นความโกรธในระดับที่ทำให้เขาขาดสติอยู่ดี ซึ่งนี่เองที่เป็นตัวชี้ว่า “เคมเปอร์” มีความบกพร่องทางอุปนิสัยในขั้นอันตราย แต่ขณะเดียวกัน เขาก็เป็นคนที่มีไอคิวสูงถึง 140 “เคมเปอร์” แสร้งทำเป็นว่าเขาได้รับการรักษาจนหายขาดและถูกปล่อยตัวกลับสู่สังคมเพียง 5 ปี หลังจากคดีฆาตกรรมครั้งแรก

เมื่อ “เคมเปอร์” ออกจากโรงพยาบาล เขาถูกส่งตัวกลับไปอยู่กับ “คลาเนล” ผู้เป็นแม่ และนี่เองที่คงเป็นความผิดพลาดอีกข้อ “คลาเนล” ดุด่าต่อว่าเขามากขึ้นกว่าก่อนเกิดคดีอีกหลายเท่า ซึ่งทำให้อาการของ “เคมเปอร์” ยิ่งหนักข้อขึ้น และเริ่มก่อคดีฆาตกรรมเหยื่อรายอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่คอยโบกรถตามข้างทาง (Hitchhiker)

“เคมเปอร์” กล่าวภายหลังการจับกุมว่า เขารู้ตัวว่าตนเองคงจะถูกจับในไม่ช้า จึงตัดสินใจจะทำสิ่งที่ค้างคาใจมาตลอด ซึ่งนั่นก็คือการสังหาร “คลาเนล” ผู้เป็นแม่นั่นเอง

“เคมเปอร์” ฆ่าแม่ของเขาโดยการทุบหัวเธอด้วยค้อนขณะที่เธอกำลังหลับอยู่ ตัดหัวเธอออกแล้วข่มขืนศพไร้ศีรษะนั้น เขาเอาหัวที่ตัดออกมาใช้เป็นเป้าปาลูกดอกและเอากล่องเสียงไปทิ้งถังขยะ จากนั้นเขาก็โทรศัพท์เรียก “แซลลี่ ฮัลเล็ต” ที่เป็นเพื่อนของแม่ของเขามาที่บ้านและฆ่าทิ้ง โดยทำทีเหมือนว่าทั้งสองคนออกเดินทางไปท่องเที่ยวด้วยกัน  แต่เขาก็เกิดเปลี่ยนใจแล้วโทรศัพท์ไปหาตำรวจ ตอนแรกตำรวจคิดว่าเป็นการเล่นตลก “เคมเปอร์” จึงต้องโทรไปหาตำรวจอีกครั้งและใช้เวลาในการอธิบายอีกมากเพื่อให้ตำรวจเชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง

“เคมเปอร์” ถูกตัดสินในคดีฆาตกรรม 8 คดีและถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ปัจจุบันเขาถูกคุมตัวอยู่ที่ California Medical Facility และรับการบำบัดทางจิตพร้อมกับ “เฮอร์เบิร์ต มัลลิน” ฆาตกรคดีต่อเนื่องอีกรายซึ่งก่อคดีในช่วงเดียวกัน เพราะสองคนนี่เองที่ทำให้แคลิฟอร์เนียได้สมญาว่าเป็น “Murder Capital of the World”

Richard Chase

The Dracula Killer,  The Vampire Killer,  The Vampire of Sacramento

“ริชาร์ด เทรนตัน เชส” ได้รับฉายาว่า “แวมไพร์แห่งซาคาเมนโต” เนื่องจากเมื่อเขาทำการฆาตกรรมเหยื่อแล้ว เขามักจะดูดเลือด หรือไม่ก็เอากลับไปที่บ้านแล้วทำน้ำอวัยวะปั่น โดยเหยื่อส่วนใหญ่ของเขาอาศัยอยู่แถวย่านซาคราเมนโต

“ริช” เป็นเด็กที่ไม่ค่อยปกติ เขาชอบ “ไฟ” และ “การวางเพลิง”  ทำให้เขากลายเป็นเด็กอันตรายในสายตาของคนทั่วไป นอกจากนี้ เขายังเป็นคนรักสัตว์มากจนคิดว่ามันสามารถมาแทนที่มนุษย์ได้ในหลายๆ อย่าง เมื่อเขาอายุได้ 10 ปี เขาชอบเล่นแผลงๆ สร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อ-แม่เป็นประจำ เขามักจะถูกลงโทษด้วยการเตะ ต่อย หรือกระทั่งโดนแส้เฆี่ยนตี พร้อมคำด่าอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เขาเกลียดและกลัวแม่มาก ส่งผลให้เขากลายเป็นเด็กที่วิตกจริตได้ง่าย ฉี่รดที่นอนบ่อยๆ และทุกครั้งที่ผ้าปูที่นอนเปียกฉี่เขาก็ต้องได้รับบทลงโทษจากแม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผลจากความกดดันที่ถูกลงโทษทำให้เขาหันไปพึ่งยาเสพย์ติด นั่นทำให้เขาเกิดอาการโรคจิต อุปทานเกินเหตุ เขาคิดว่าตัวเองเป็นโรคที่มีความบกพร่องอย่างโน้นอย่างนี้มากมายไปหมด สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้เขากลายเป็นคนมีปัญหาต่อสังคมมากยิ่งขึ้น ใครๆ ก็ไม่อยากคบสมาคมเพราะเอือมระอากับความหวาดระแวงเกินเหตุของเขา

“ริช” คิดอยู่เสมอว่าแม่ของเขาเกลียดเขา เลยหาทางกำจัดเขาโดยการวางยาพิษให้เขาตายจากโลกใบนี้และวิธีเดียวที่จะทำให้เขารอดพ้นอันตรายจากแม่ก็คือ เขาต้องหนีออกจากบ้าน โดยเขาไปอาศัยอยู่กับเพื่อนที่อพาร์ตเมนต์

บ่อยครั้งที่ “ริช” บ่นให้คนอื่นฟังว่าหัวใจของเขาจะหยุดเต้นและมีคนจะมาขโมยเส้นเลือดที่เชื่อมปอดของเขา เขาเริ่มฆ่าสัตว์และนำเอาเลือดของสัตว์ที่เขาฆ่าไปกิน เขาเชื่อว่าวิธีนี้สามารถแก้อาการขาดเลือดและป้องกันไม่ให้หัวใจของเขามีขนาดเล็กลงได้ การเสพเลือดและอวัยวะของสัตว์ต่างๆ ทำให้เขาป่วยจนต้องถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาล เนื่องจากเลือดสดๆ ของสัตมีทั้งพยาธิและพิษนานาชนิด

ต่อมาในปี ค.ศ. 1975 “ริช” เกิดอาการเลือดเป็นพิษอีกครั้ง เนื่องจากเขาฉีดเลือดกระต่ายเข้าไปในเส้นเลือด เขาหมดสติและถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล หลังจากอยู่โรงพยาบาลได้ไม่กี่วัน เขาก็แอบหนีออกมา แต่ก็ถูกจับตัวส่งกลับไปและถูกพาตัวไปยังสถาบันวิเคราะห์ทางจิต เนื่องจากเป็นไปได้ว่าเขาอาจมีอาการผิดปกติทางจิต การรักษาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีการติดตามผลเป็นระยะ แม้ระหว่างการรักษาเขาจะแสดงพฤติกรรมน่าขนลุกให้เจ้าหน้าที่สถาบันเห็นบ่อยๆ เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาหายตัวไป ก่อนจะกลับมาพร้อมกับเลือดเต็มปาก เขาบอกว่าเป็นเลือดนก 2 ตัว เขาฆ่าเพราะอยากจะกินเลือดมัน

กระทั่งปี ค.ศ. 1976 “ริช” ได้รับการปล่อยตัวจากสถาบันฯ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องได้รับการดูแลจากผู้ปกครอง หน้าที่นี้จึงตกมาที่แม่ของเขาโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง อย่างไรก็ตาม แม่ของเขาก็ไม่ได้ดูแลลูกชายของเธออย่างใกล้ชิดเลย ซ้ำยังปล่อยให้เขาอาศัยอยู่คนเดียวที่อพาร์ตเมนต์ โดยแม่ของเขาเป็นคนจ่ายค่าเช่าและเอาของกิน-ของใช้ไปให้ด้วย

ปลายปี ค.ศ. 1977 “ริช” ก็ก่อคดีฆาตกรรมขึ้น เหยื่อรายแรกของเขาชื่อ “แอมโบรส กรีฟฟิน” เขาใช้ปืนยิงเหยื่อของเขาแบบไม่ยั้ง “แอมโบรส” เสียชีวิตคาที่ เขาสารภาพกับตำรวจภายหลังว่า วันที่เขาฆ่าเหยื่อรายแรกนั้น เขาขับรถไปเรื่อยๆ และเหนี่ยวไกยิงเหยื่อโดยไม่มีการวางแผนล่วงหน้า แบบว่าเจอใครก็จะยิง พอดี “แอมโบรส” อยู่ในวิถีกระสุนเขาเท่านั้นเอง

ไม่กี่วันหลังจากนั้น “ริช” ก็ทำการฆาตกรรม “เทเรซ่า” หญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์ด้วยปืน เธอตายคาที่และ “ริช” ก็มีเซ็กซ์กับศพจนสำเร็จความใคร่ ศพถูกชำแหละ เนื้อหายไปหลายชิ้น ข้างศพมีกล่องโยเกิร์ตเปล่าที่มีคราบเลือดติดอยู่ภายใน บ่งชี้ว่าฆาตกรน่าจะใช้มันแทนแก้วดื่มเลือดผู้ตาย

ถัดจากคดีของ “เทเรซ่า” “ริช” ได้บุกเข้าไปในบ้านของ “เอเวอร์ลีน มิรอธ” เขากระหน่ำยิง “เอเวอร์ลีน” จนตายคาที่ พร้อมหันปากกระบอกปืนยิงใส่ “เจสัน มิรอธ” วัย 6 ขวบอย่างไร้เมตตา และเมื่อเขาเดินสำรวจบ้านก็พบกับ “เดวิด” เด็กวัย 22 เดือน หลานของ “เอเวอร์ลีน” เขายิงใส่ทารกอย่างโหดเหี้ยม แล้วเขาก็ไปย่ำยีศพของ “เอเวอร์ลีน” ท่ามกลางกองเลือด พร้อมกับกินเลือด-กินเนื้อศพไปด้วย หากแต่เวลานั้น เด็กสาววัย 6 ขวบ ที่เป็นเพื่อนบ้านเปิดประตูเข้ามาเพื่อชวน “เจสัน” ไปเล่นอย่างที่เคย ทำให้ “ริช” ตกใจจนต้องรีบหนีออกจากที่เกิดเหตุ กว่าตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุก็ไม่เห็นฆาตกรแล้ว แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้ในที่เกิดเหตุมีเพียบ ทั้งรอยนิ้วมือเปื้อนเลือดจำนวนมาก รอยเท้าที่ย่ำไป-มาบนพื้น ศพของ “เอเวอร์ลีน” ที่บ่งบอกถึงการย่ำยีของฆาตกร

ตำรวจกว่า 65 นาย เข้าร่วมการสืบสวนหาฆาตกรรายนี้อย่างเร่งด่วน จนในที่สุดตำรวจก็สามารถตามจับกุม “ริช” ได้ในที่่สุด เมื่อตำรวจทำการบุกค้นห้องพักของเขา ก็พบว่าห้องพักดังกล่าวมีสภาพห้องรกมาก ตำรวจพบอาหารคลุกเลือด เสื้อสกปรกที่เต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรัง หนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวคดีแรกที่เขาก่อ เครื่องปั่นมรณะที่ใช้ปั่นเลือดและอวัยวะภายในเหยื่อ ชิ้นส่วนมนุษย์ที่ใส่ไว้ที่จานหลายใบในตู้เย็น

“ริช” ถูกส่งฟ้องศาลในข้อหาฆ่าคนตาย 6 คน แน่นอนว่าทนายของเขาพยายามสู้คดีโดยเน้นไม่ให้เขาต้องโทษประหาร โดยอ้างประวัติการบำบัดทางจิต ท้ายสุด วันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1979 ศาลซาคราเมนโตมีคำตัดสินให้ “ริชาร์ด เทรนตัน เชส” มีความผิดฐานฆ่าคน 6 จริง ส่งผลให้มีประหารชีวิตให้ตายไปจากโลกซะด้วยการ “รมแก๊สพิษ”

“ริช” ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับ โดยเขามักอ้างตลอดว่าที่เขาฆ่าคนเพราะเขากลัวพวกนาซีกับยูเอฟโอ ดังนั้น คนที่ควรถูกลงโทษควรเป็นพวกนั้น ระหว่างการรอประหาร เขามีอาการกระวนกระวายใจมาก ทำให้เกิดความเครียดนอนไม่หลับ แพทย์ต้องเข้ามาดูอาการและจ่ายยาเพื่อแก้ความเครียด กระทั่งวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 1980 เมื่อผู้คุมเดินเข้ามาตรวจห้องขังของ “ริช” ก็พบว่าเขาไม่หายใจแล้ว สาเหตุการตายเกิดจากการกินยาเกินขนาด โดยเขาแอบสะสมยานอนหลับเพื่อมากินคราวเดียวให้ตายเพื่อหลีกหนีความผิด

Theodore Robert Bundy

คำว่า “Serial Killer” ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อใช้เรียกฆาตกรที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของอเมริกา ฆาตกรดังกล่าวคือ “เท็ด บันดี” คดีของเขาเป็นคดีที่แปลกไปจากคดีอื่นๆ เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นในศาล ไม่ว่าใครก็ยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางมีความรู้ผู้นี้จะเป็นฆาตกรโหดในอาชญากรรมทางเพศ “เท็ด บันดี” ถูกตัดสินโทษประหารในคดีฆาตกรรม 30 รายก็จริง หากในความจริงแล้วเชื่อกันว่าเหยื่อของเขามีไม่ต่ำกว่า 100 รายแน่นอน !

แม่ของ “เท็ด” ให้กำเนิดเขาขณะที่มีอายุได้เพียง 21 ปี โดยยังไม่ได้แต่งงานและไม่มีการเปิดเผยจนทุกวันนี้ว่าพ่อที่แท้จริงของเขาคือใคร สมัยนั้นสังคมมองมารดานอกสมรสด้วยสายตาไม่ดีนัก “เท็ด” จึงถูกเลี้ยงดูมาในฐานะของน้องชายของแม่ เขาไม่เคยรู้ความจริงนี้เลยจนกระทั่งลูกพี่-ลูกน้องยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวเมื่อเขาอายุได้ประมาณ 10 ปี แน่นอนว่าเรื่องนี้กลายเป็นแผลใจในวัยเด็กของเขาและ “เท็ด” ก็ไม่เคยให้อภัยแม่ที่คลอดเขาออกมาโดยไม่มีพ่อและยังพยายามปิดบังเรื่องนี้อีกด้วย

“เท็ด” เป็นเด็กฉลาด ผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับดีมาตลอด เขาเป็นเด็กสุภาพ ขี้อาย อัธยาศัยดี แต่เมื่อเขาโกรธ เขาจะกลายเป็นคนก้าวร้าวและชอบใช้ความรุนแรง ซึ่งคาดกันว่านิสัยนี้เขาได้รับมาจาก “แซม โคเวล” ผู้เป็นตาของเขา

“เท็ด” มีความสนใจด้านกฎหมายตั้งแต่เรียนชั้นไฮสคูล เขาได้ทุนศึกษาต่อสายจิตวิทยาที่ University of Puget Sound (ภายหลังคือ University of Washington) ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกฎหมายในภายหลัง ที่นี่เองที่เขาได้พบกับ “สเตฟานี่ บรูกส์” หญิงสาวผมยาวผู้ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา

“เท็ด” คบกับ “สเตฟานี่” ในช่วงที่เรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่เมื่อเรียนจบเขาก็ถูก “สเตฟานี่” ทิ้งไป เนื่องจาก “สเตฟานี่” ไม่ค่อยพอใจในตัวคนรักที่มีท่าทีหงอๆ และขี้อายเท่าใดนัก “เท็ด” เสียใจเป็นอย่างมากจนเขาลาออกจากมหาวิทยาลัยและทำงานเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงตัวเองไปวันๆ หากแต่ไม่สามารถทำงานที่ใดได้นาน นอกจากนี้ เขายังก่อคดีลักขโมยเล็กอีกมากจนแทบจะกล่าวได้ว่าของใช้รอบตัวในตอนนั้นล้วนเป็นของขโมยมาทั้งสิ้น เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวมาได้ เขาก็ตั้งปณิธานว่าจะแก้แค้น “สเตฟานี่” ให้ได้สักวัน

“เท็ด” ปรับปรุงมารยาทและการแต่งตัว หัดเข้าสังคมและอาศัยคนรู้จักเข้าสู่วงการการเมือง จนได้เข้าไปเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกันของวอชิงตัน เขาไม่เกี่ยงงาน ขยันขันแข็งและเคยช่วยเด็กจมน้ำจนได้รับประกาศเกียรติคุณจากทางตำรวจอีกด้วย สส. ของพรรคต่างก็คาดหวังในตัว “เท็ด” ว่าเขาจะสามารถไต่เต้าขึ้นไปเป็นผู้ว่าการเมืองได้ก็เป็นได้ แล้วเขาก็ได้พบกับ “สเตฟานี่” อีกครั้ง ทั้งสองกลับมาคบกันใหม่จนถึงกับทำการหมั้น หากแต่ “เท็ด” ก็ทิ้ง “สเตฟานี่” ไปอย่างไม่ใยดีและนี่คงเป็นการแก้แค้นที่เขามีต่อเธอนั่นเอง แต่ปมที่เขามีต่อผู้หญิงผมยาวยังไม่จบเพียงเท่านี้

ช่วงปี ค.ศ. 1974 “เท็ด” เริ่มก่อคดีฆาตกรรม โดยเหยื่อส่วนใหญ่ของเขาจะเป็นหญิงสาวผมยาว แม้เหยื่อบางรายจะสามารถรอดพ้นเงื้อมมือของเขาไปได้และเหยื่อเหล่านั้นล้วนเห็นหน้าของเขา แต่การสืบหาตัวเขากลับไม่มีการคืบหน้า นักวิจัยกล่าวว่า “เท็ด” เป็นคนหน้าตาดีก็จริง หากก็ไม่มีเอกลักษณ์อะไรเป็นพิเศษ เพียงแต่เปลี่ยนทรงผม เปลี่ยนแบบเสื้อ ไว้หนวดเคราเสียหน่อยก็ไม่มีใครจำหน้าเขาได้แล้ว

14 กรกฎาคม ขณะที่ “ดอริส เกรริงค์” กำลังรอสามีของเธอที่ทะเลสาปแซมมามิชในรัฐวอชิงตัน ชายหนุ่มหน้าตาดีใส่เฝือกที่แขนคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและขอร้องให้เธอช่วยเอาบอร์ดสกีขึ้นรถให้หน่อย “ดอริส” เห็นว่าใกล้เวลานัดแล้วจึงปฏิเสธไป ซึ่งชายดังกล่าวก็เพียงยิ้มแย้มขอบคุณและไม่ได้ว่าอะไร หลังจากนั้น “ดอริส” ก็เห็นชายใส่เฝือกคนนั้นยืนคุยอยู่กับเด็กสาวผมยาวอีกคน เธอคนนี้คือ “จานิส ออท” และนี่ก็เป็นคำให้การสุดท้ายที่มีคนบอกว่าเห็นเธอขณะยังมีชีวิตอยู่และเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ “จานิส” หายไป “เดนิส นาสลันด์” ก็หายไปอีกคน ทั้งสองถูกพบเป็นศพในอีก 1 เดือนให้หลัง

คดีนี้โด่งดังไปทั่วอเมริกา มีการประกาศภาพเหมือนตามคำให้การ ขณะนั้น “เท็ด” ทำงานอยู่ในสำนักงานกฏหมายในวอชิงตัน เพื่อนร่วมงานของเขากล่าวล้อเลียนว่ารูปของฆาตกรเหมือนเขาไม่มีผิด ซึ่ง “เท็ด” ก็รับมุขอย่างไม่สะทกสะท้าน ขณะที่ “เม็ก อันดาส์” ซึ่งเป็นคนรักของ “เท็ด” ในตอนนั้นสงสัยว่าเขาเป็นฆาตกร เนื่องจากเธอพบเฝือกและผ้าพันแผลในที่เก็บของของเขา “เม็ก” แจ้งตำรวจ หากข้อมูลของเธอไม่ได้ถูกใส่ใจนัก เนื่องจากขณะนั้น “เท็ด” ยังเป็นเพียงหนึ่งในกว่าพันคนที่ถูกแจ้งข้อสงสัยไปยังตำรวจ

ระหว่างเดือนกันยายน “เท็ด” ได้รับการสนับสนุนจากผู้ว่าการรัฐฯ ให้ไปศึกษาด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยยูท่าห์ แต่ “เท็ด” ก็ยังคงเดินหน้าก่อคดีอย่างต่อเนื่อง

… การจับกุม “เท็ด” เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ เมื่อ “เท็ด” โดนตำรวจนายหนึ่งค้นรถเนื่องจากเขาขับรถผิดกฎจราจร ตำรวจพบที่เจาะน้ำแข็ง หน้ากากสกี เชือกหลายเส้นและกุญแจมือ ซึ่งตรงตามคำให้การของเหยื่อรายหนึ่งที่สามารถหนีรอดจากเขาไปได้ ในตอนนั้น “เท็ด” เพียงแต่จ่ายค่าปรับและถูกปล่อยตัวไป หากตำรวจก็เชื่อว่าเขาเป็นคนร้ายในคดีของเหยื่อรายดังกล่าวและเมื่อทำการสืบสวนจึงได้รู้ว่า “เท็ด” อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในวอชิงตันและโคโรลาโด้ด้วย และด้วยความร่วมมือของเหยื่อที่สามารถหนีรอดจากเงื้อมมือของเขาไปได้ ในที่สุด “เท็ด” ก็ถูกจับกุมอย่างเป็นทางการในคดีวางแผนลักพาตัว … เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดและลงโทษจำคุก 1-15 ปี

หากแต่ตำรวจไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น คดีฆาตกรรมต่อเนื่องอื่นๆ ถูกนำมาสืบสวน … ระหว่างต่อสู้คดีในศาล “เท็ด” แสดงความไม่พอใจต่อทนายที่ว่าความให้เขา เขาตัดสินใจว่าความให้ตัวเองและการที่เขาเป็นทนายให้กับตัวเองทำให้เขามีอิสระในระดับหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาสามารถหลบหนีออจากที่คุมขังไปได้ เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างชื่อให้ “เท็ด” โด่งดังไปทั่วอเมริกาในชั่วข้ามคืน อย่างไรก็ตาม หกวันให้หลังเขาก็ถูกจับได้อีกครั้งหลังขโมยรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังซีแอทเทิล

หลังคดีของเขาถูกตัดสินว่าจะส่งต่อไปยังศาลที่สปริงส์ ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของการตัดสินโทษประหาร เขาก็แหกคุกอีกครั้งและมุ่งไปยังฟลอริด้า … “เท็ด” ตั้งใจว่าล้างมือจากอาชญากรรมและกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติ เขาเช่าห้องด้วยชื่อปลอมและเข้าไปเตร็ดเตร่ในมหาลัย กระทั่งเข้าเรียนในชั้นเรียนด้วย แต่สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถห้ามตัวเองได้และกลับไปก่อคดีอีกครั้ง

15 มกราคม ค.ศ. 1978 ระหว่างที่ “นิต้า เนียลี่” นักศึกษามหาวิยาลัยประจำรัฐฟลอริด้า กำลังเดินทางกลับไปยังหอพักหญิง เธอเห็นชายคนหนึ่งยืนถือท่อนไม้ที่มีผ้าพันอยู่หน้าหอ ขณะที่เธอกำลังจะโทรแจ้งตำรวจนั้นเอง “คาเรน แชนเดอร์” ก็โซเซออกมาขอความช่วยเหลือทั้งๆ เลือดโทรมหน้า และ “คาธี่ เคลน” ก็ถูกพบหมดสติในสภาพศีรษะแตกจนเลือดท่วมใบหน้า “มาร์กาเร็ต โบว์แมน” เสียชีวิตเนื่องจากถูกรัดคอด้วยถุงน่อง เธอถูกทุบที่ศีรษะจนกระโหลกแตกและสมองทะลักออกมา “ลิซ่า เลวี่” ถูกข่มขืน มีรอยกัดที่เห็นได้อย่างชัดเจนเหลืออยู่บนร่างของเธอ เธอถูกรัดคอเช่นกันและเสียชีวิตในรถพยาบาล

เพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งหลังการโจมตีหอพักหญิงดังกล่าว ที่หอพักหญิงอีกแห่งซึ่งอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่บล๊อก “เด็บบี้ ซิคคาเรลลี่” ตื่นขึ้นมาเนื่องจากเสียงเอะอะจากห้องข้างๆ มีเสียงทุบอะไรบางอย่างดังติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่เมื่อโทรศัพท์ไปก็ไม่มีผู้รับ เธอและรูมเมทจึงรีบไปยังห้องข้างๆ ทันที … “เชริล ทอมป์สัน” ยังไม่ตาย เธอถูกข่มขืนและทุบที่ศีรษะกับใบหน้าจนเยินไปหมด ในที่เกิดเหตุพบหน้ากากสกีของคนร้ายที่มีทั้งเลือด อสุจิ รอยนิ้วมือและเส้นผมของคนร้ายติดอยู่ด้วย

9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1978 “คิมเบอร์ลี่ ลีช” หายสาปสูญไป มีคำให้การว่าเธอขึ้นรถไปกับชายแปลกหน้าซึ่งขับรถแวนสีขาว “คิมเบอร์ลี่” ถูกพบเป็นศพเน่าในอีก 8 อาทิตย์ให้หลัง เธอถูกข่มขืนและทุบศีรษะจนเสียชีวิต หลังฆ่า “คิมเบอร์ลี่” แล้ว “เท็ด” ก็ขโมยรถอีกคันเพื่อมุ่งหน้าไปยังซีแอทเทิ่ล หากแต่เขาถูกตำรวจตามเจอเสียก่อน เขาและตำรวจขับรถไล่ล่าไปตามถนน ก่อนตำรวจจะหยุดรถของเขาลงได้ “เท็ด” ยกมือทั้งสองเหมือนยอมจำนน แต่เมื่อตำรวจจะใส่กุญแจมือ เขาก็ขัดขืนทำร้ายตำรวจ 2 คนเพื่อหาทางหนี แต่ท้ายที่สุดก็ถูกตำรวจอีกหลายนายช่วยกันรวบตัวไว้ได้

การขึ้นศาลของ “เท็ด” ถูกถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ เขากางตำรากฏหมายว่าความสู้กับฝ่ายตรงข้ามด้วยตัวเอง แต่เมื่อมีการนำรอยฟันบนศพของ “ลิซ่า เลวี่”  (เป็นหลักฐานสุดท้ายที่มัดตัว “เท็ด” ไว้ได้) ขึ้นเสนอต่อศาล “เท็ด” ก็เก็บตำราของเขา พร้อมกับจะเดินออกไปจากศาล “ผมไม่ทนเล่นละครกับพวกคุณล่ะ”

23 กรกฎาคม ค.ศ. 1979 “เท็ด” ถูกตัดสินว่ามีความผิดและลงโทษประหารชีวิต ระหว่างอยู่ในคุก “เท็ด” ได้พยายามขอยื่นคำร้องเพื่อทบทวนคดีใหม่หลายครั้ง หากแต่ทั้งหมดถูกปฏิเสธ นอกจากนี้ เขายังเคยเสนอตัวช่วยตำรวจในการสืบสวนคดีของ “ฆาตกรแห่งแม่น้ำกรีน” ด้วย  … 24 มกราคม ค.ศ. 1989 “เท็ด บันดี้” ถูกประหารด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวการประหารของเขาว่า “Killer dies with a smile on his face”

Edward Gein

The Mad Butcher

หลายๆ คนอาจไม่รู้จักชื่อของชายผู้นี้ แต่คาดว่าทุกคนคงจะเคยดู PHYCO หรือ The Texus Chainsaw Massacre หรือ Silent of the Lamb มาแล้ว ต้นแบบของภาพยนตร์เหล่านี้ล้วนเป็นชายผู้ถูกขนานนามว่าเป็นฝันร้ายของอเมริกายุคใหม่ผู้นี้เอง เขาคนนี้แหละที่เป็นบุคคลซึ่งมีอิทธิพลต่อวงการภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดมากที่สุดผู้หนึ่งทีเดียว

เพลนฟิลด์เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่กลางรัฐวิสคอนซิน มีผู้อาศัยประมาณ 600 คน เป็นเมืองที่ไม่มีความบันเทิงใดเป็นพิเศษนอกไปจากการล่ากวางในฤดูล่าสัตว์กับเบียร์ซักแก้วเท่านั้นเอง

วันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1954 “แมรี่ โฮแกน” หญิงวัยกลางคนร่างใหญ่ได้หายไปจากบาร์ที่เธอทำงานอยู่ ชาวนาที่เป็นขาประจำมาที่ร้านและไม่พบร่องรอยใดๆ ของเธอเลย นอกจากเลือดที่โชกไปทั่วพื้นร้าน การตรวจสอบพบกระสุนปืนขนาด 32 มิล และรอยเลือดที่บ่งชี้ว่าศพถูกลากออกไป หากของมีค่าอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรสูญหาย จนแล้วจนรอดตำรวจก็ไม่สามารถสืบสวนหาตัวคนร้ายและศพของเหยื่อได้

3 ปีให้หลัง 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1957 “เบอร์นิซ วอร์เดน” คุณนายร้านเครื่องโลหะหายตัวไปจากร้านที่เธอเป็นผู้ดูแลแต่ผู้เดียว “เบอร์นิซ” เป็นหญิงวัยกลางคนร่างใหญ่เช่นเดียวกับ “แมรี่ โฮแกน” วันที่เธอหายตัวไปนั้น ผู้ชายในเมืองออกไปล่ากวางเนื่องจากเป็นวันเปิดฤดูกาลล่าวันแรก เมื่อ “แฟรงค์” ผู้เป็นลูกชายกลับมาก็พบเพียงร้านอันว่างเปล่าและแอ่งเลือดบนพื้น แต่เนื่องจากบิลใบเสร็จที่เหลืออยู่ในร้านทำให้ตำรวจสามารถชี้ตัวคนร้ายได้ เขาก็คือ “เอ็ด เกน” ซึ่งเป็นลูกค้ารายเดียวของร้านในวันนั้นนั่นเอง

มีชาวหมู่บ้านหลายคนเห็น “เอ็ด” มีพฤติกรรมน่าสงสัยระหว่างที่เขาขนย้ายศพกลับบ้าน หากในเมืองเพลนฟิลด์ “เอ็ด” เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะของ “คนดีไม่เต็มเต็ง” “คนโง่ที่ไว้ใจได้” จึงไม่มีใครใส่ใจเท่าใดนัก ถึงกับมีคนขอให้เขาช่วยขับรถ (คันที่บรรทุกศพไปหมาดๆ นั่นแหละ) ไปส่งในเมืองและเลี้ยงข้าวเย็นเป็นการตอบแทนด้วยซ้ำ

ระหว่างที่ “เอ็ด” ทานข้าวเย็นอยู่ที่อื่น “นายตำรวจชูเลย์” และ “แฟรงค์” ก็มุ่งหน้าไปยังบ้านของ “เอ็ด” ในบ้านมืดสนิทไม่มีคนอยู่ พวกเขาจึงอ้อมไปด้านหลังและเข้าไปทางประตูครัว เมื่อส่องไฟฉายดูก็พบบางอย่างห้อยลงมาจากเพดาน สิ่งที่มีรูปร่างเหมือนตัว Y ขนาดใหญ่ นั่นคือร่างไร้ศีรษะของมนุษย์ที่ถูกแขวนห้อยหัวลงมาจากเพดานนั่นเอง ! ศพถูกผ่าเป็นเส้นตรงตั้งแต่หว่างขาขึ้นไปจนถึงอก เครื่องในถูกควักออก … “แฟรงค์” ร้องตะโกนทันทีที่รู้ว่านั่นคือแม่ของเขา ! นายตำรวจใหม่กระโจนกลับออกไปนอกบ้านแล้วอาเจียนโอ้กใหญ่

การเก็บหลักฐานในบ้านของ “เอ็ด” นั้น แม้แต่ตำรวจมือเก๋าก็ยังหวาด บ้านสกปรกเลอะเทอะราวกับไม่ได้เก็บกวาดมานานปี จานที่ยังไม่ได้ล้าง ข้าวที่กินเหลือ กระป๋องเปล่า ขวดเปล่า ขยะถูกทิ้งเกลื่อนไปทั้งบ้าน มีกระทั่งกระป๋องที่อัดแน่นไปด้วยหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้ว

ตำรวจเห็นอะไรบางอย่างแปลกๆ ในกองจานชาม เมื่อสังเกตดูดีๆ ก็พบว่ามันก็คือแก้วเบียร์ที่ทำจากกระโหลกศีรษะมนุษย์ เมื่อมองบนชั้นก็พบกระโหลกอีกมากมาย กระทั่งเสาเตียงก็ยังตกแต่งด้วยกระโหลกคน เก้าอี้ถูกบุด้วยหนังคน ยังมีที่ครอบโคมไฟ ถังขยะ กลอง ปลอกมีดที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยหนังมนุษย์เช่นเดียวกัน เข็มขัดมีการตกแต่งด้วยหัวนมผู้หญิง ที่ดึงม่านมีริมฝีปากคนประดับอยู่ ตำรวจยังพบศีรษะตากแห้ง 9 หัว ทุกหัวยังมีผมอยู่ บางหัวมีการแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง และที่นี่เอง พวกเขาก็พบ “แมรี่ โฮแกน” ที่หายตัวไปเมื่อ 3 ปีก่อน มีการพบศีรษะที่หายไปของ “เบอร์นิซ วอร์เดน” ด้วย หูทั้งสองข้างของเธอถูกร้อยด้วยเชือก แขวนไว้กับผนังราวกับเป็นของแต่งบ้าน เครื่องในสดๆ ของเธออยู่บนเตารอให้ “เอ็ด” กลับมาเตรียมอาหาร

ในกล่องรองเท้าเก่าๆ บรรจุมดลูก 9 ชิ้น ทั้งหมดแห้งหดตัว มีอยู่ชิ้นเดียวที่ทาสีเงินและผูกโบว์สีแดงประดับเอาไว้ มีมดลูกสดๆ อีกชิ้นถูกโรยเกลือไว้กันเน่าเรียบร้อยแล้ว อีกกล่องมีจมูกคนใส่อยู่และยังมีหน้ากากหนังมนุษย์อีก 9 ชิ้น ทุกชิ้นถูกลอกมาจากร่างกายคนอย่างปราณีต ตบท้ายด้วยเสื้อหนังมนุษย์ที่มีกระทั่งเต้านมของผู้หญิงเย็บติดอยู่ คาดว่า “เอ็ด” น่าจะใช้ของเหล่านี้ในการแต่งตัวให้เป็นผู้หญิง ซึ่งตรงนี้เองที่เป็นต้นแบบของฆาตกรในเรื่อง “Silent of the Lamb”

แต่ในบ้านที่รกรุงรังไปหมดนี้ มีเพียงที่เดียวที่สะอาดเรียบร้อย นั่นก็คือ “ห้องของออกัสต้า” ซึ่งเป็นมารดาของเขานั่นเอง ห้องของเธอถูกเก็บไว้ในสภาพเดียวกับยามที่เธอยังมีชีวิตอยู่

“เอ็ด เกน” เกิดเมื่อ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1906 เป็นบุตรชายคนที่สองของ “ออกัสต้า เกน” ที่เป็นหญิงเคร่งศาสนา เธอรังเกียจการมีเพศสัมพันธ์แม้แต่กระทั่งกับสามีของตัวเองและสั่งสอนความเชื่อนี้ให้กับบุตรชายทั้งสองคนของเธอด้วย โดยเฉพาะ “เอ็ด” นั้นเชื่อในคำสอนของมารดาอย่างเคร่งครัดว่า “การมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงจะทำให้เขาตกนรก”

ปี ค.ศ. 1944 “เฮนรี่” ผู้พี่ที่ยังโตมาเป็นคนปกติดีถูกไฟป่าครอกตาย การตายของเขาถูกบันทึกว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่มาวันนี้มีการสันนิษฐานเช่นกันว่า “เอ็ด” เป็นคนฆ่า เนื่องจาก “เฮนรี่” ด่า “เอ็ด” ว่าติดแม่ เป็นไปได้ว่าเขาจะฆ่าพี่ชายของเขาเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของมารดาก็เป็นได้ ต่อมาในปี ค.ศ. 1945 “ออกัสต้า” ก็เสียชีวิตลงด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ หลังการตายของมารดาสุดที่รักนี่เอง “เอ็ด” เริ่มมีพฤติกรรมที่แปลกไป

ช่วงแรกไอเท็มสยองต่างๆ ถูกประดิษฐ์จากศพใหม่ๆ ที่ขุดมาจากสุสานของเมือง แต่ศพใหม่ก็ใช่ว่าจะหาได้อยู่เรื่อยๆ “เอ็ด” จึงเลยเถิดลงมือฆ่า “แมรี่ โฮแกน” และ “เบอร์นิซ วอร์เดน” เป็นที่น่าสังเกตุว่าผู้หญิงทั้งสองที่เขาฆ่านั้นต่างก็เป็นหญิงวัยกลางคนร่างใหญ่ นิสัยเจ้ากี้เจ้าการ ชอบชี้นิ้วสั่ง เช่นเดียวกับ “ออกัสต้า” มารดาของเขา จุดนี้มีการวิเคราะห์ไปต่างๆ นานาว่าการกระทำของเขาเป็นการล้างแค้นแม่ หรือเพราะเขาอยากจะแปลงร่างเป็นแม่ของเขาเองกันแน่

แพทย์ที่ตรวจ “เอ็ด” ยืนยันว่าเขามีอาการป่วยทางจิตอย่างรุนแรงจนยากจะเยียวยา เขาจึงรอดจากการตัดสินของศาลในฐานะผู้ไม่มีความสามารถในการรู้ผิดชอบ แน่นอนว่าชาวเมิองเพลนฟิลด์ย่อมไม่พอใจการตัดสินนี้และเมื่อชาวเมืองที่โกรธแค้นต่างรู้ว่าเงินที่ได้จากการขายบ้านของ “เอ็ด” จะถูกส่งเข้าบัญชีของเขา ชาวเมืองก็พากันเผาบ้านของเขาทิ้งจนราบคาบ ส่วนรถฟอร์ดของเขาถูกนำออกประมูลและนำไปโชว์เก็บเงิน หากระหว่างการโชว์ก็มีโทรศัพท์เข้ามาต่อว่ามากมายจนต้องยกเลิกไป

“เอ็ด” ถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลโรคจิตของรัฐ เขาประพฤติตัวสงบเสงี่ยมจนแม้แต่แพทย์ก็ยังยกให้เป็นผู้ป่วยตัวอย่าง กระทั่งเขาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1984 ศพของเขาถูกฝังไว้ข้างๆ หลุมศพของมารดาผู้เป็นที่รักของเขา ไม่ไกลจากหลุมศพของเหยื่อที่เขาฆ่าเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน

 

Jeffrey Lionel Dahmer

The Millwaukee Monster,  The Millwaukee Cannibal

โดยปกติแล้วเวลามีคดีร้ายแรงเกิดขึ้นในอเมริกา ตำรวจมักพุ่งเป้าหมายการสืบสวนไปยังคนผิวดำ คดีของ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” จึงเป็นเหมือนข้อค้านต่อค่านิยมเช่นนั้นว่า คนผิวขาวมีการศึกษาก็สามารถเป็นฆาตกรได้เช่นกัน !

22 กรกฎาคม ค.ศ. 1991 เวลา 23.30 น.  ณ เมืองมิลวอคี รัฐวิสคอนซิน ขณะที่ตำรวจสองนาย กำลังลาดตระเวณอยู่บริเวณดาวน์ทาวน์ ก็มีชายผิวดำที่ใส่กุญแจมือไว้ที่มือข้างซ้ายวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือ เมื่อตำรวจตามชายคนดังกล่าวไปยังห้องหมายเลข 213 ที่อพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง ตำรวจทั้งสองนายก็พบกับชายหนุ่มผิวขาวผมบรอนด์เปิดประตูออกมารับด้วยท่าทีสงบเงียบใจเย็น ชายคนนั้นก็คือ “เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” นั่นเอง

ตอนแรกตำรวจยังไม่ได้สงสัยในตัวของ “เจฟฟรีย์” อย่างจริงจังอะไรนัก พวกเขาเพียงแต่รู้สึกว่าห้องของ “เจฟฟรีย์” มีกลิ่นเหม็นมากจนน่าแปลกใจที่เจ้าตัวอาศัยอยู่อย่างนี้ได้อย่างไร และด้วยความบังเอิญที่ตำรวจนายหนึ่งเหลือบไปเห็นรูปถ่ายของศพที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆ เมื่อพวกเขารวบตัว “เจฟฟรีย์” ที่พยายามจะหนีไว้และทำการตรวจห้อง ก็พบกับที่มาของกลิ่น …

ที่มาของกลิ่นเหม็นมาจากหัวคน 4 หัวในตู้เย็น กับชิ้นเนื้อและเครื่องในมนุษย์ที่ถูกแพ็คไว้ในถุงพลาสติก ชั้นบนของที่วางของมีกระโหลกมนุษย์ 3 หัวเก็บอยู่ ส่วนชั้นล่างวางกระดูกชิ้นส่วนอื่นๆ ในกล่องกระดาษมีกระโหลกอีก 2 หัว และอัลบั้มภาพถ่ายอันสุดจะบรรยาย หม้อบนเตากำลังต้มศีรษะมนุษย์ 2 หัว ที่กำลังเปื่อยได้ที่ บนพื้นมีเศษผิวหนังกับนิ้วมือตกอยู่และในถังสีฟ้าที่วางไว้ที่โถงประตู ภายในมีชิ้นส่วนของร่างกายมนุษย์ 3 คน ซึ่งถูกทำให้ละลายด้วยกรดเกลือ !

“เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์” เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 1960 เขาเป็นบุตรชายคนโตของ “ไลโอเนล” และ “จอยส์ ดาห์เมอร์” ขณะที่ “ไลโอเนล” ยังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ภายหลัง “ไลโอเนล” ได้กล่าวในหนังสือของเขาว่า “ในตอนนั้นพวกผมคงยังไม่พร้อมที่จะมีลูก”

ขณะที่ “จอยส์” ตั้งครรภ์ เธอมีอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงและกินยาต่างๆ วันหนึ่งถึง 26 เม็ด หลังจากที่ “เจฟฟรีย์” เกิดมา “ไลโอเนล” ก็ทุ่มเทให้กับการเรียนจนได้ปริญญาเอกด้านการวิจัยเคมีในปี ค.ศ. 1966 ทางด้าน “จอยส์” จากเดิมที่มีอาการประสาทอ่อนๆสภาพจิตใจของเธอก็ไม่ปกตินักมาตลอดเนื่องจากความเครียดจากการเลี้ยงบุตรและมีการทะเลาะกับ “ไลโอเนล” บ่อยครั้ง เมื่อเธอท้องลูกคนที่สองก็ทานยาจำนวนมากอีกและต้องนอนอยู่เกือบตลอดเวลา วัยเด็กของ “เจฟฟรีย์” จึงเติบโตมาพร้อมกับมารดาที่มีอาการฮิสทีเรียกับบิดาที่ยุ่งอยู่กับการวิจัยจนไม่ได้ใส่ใจครอบครัว

“เจฟฟรีย์” ในวัยเด็กเป็นคนเก็บเนื้อ-เก็บตัว ชอบอยู่คนเดียวในป่าใกล้บ้านมากกว่าออกไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ เขาชอบใจชุดทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่พ่อซื้อให้และมักเอาศพของสัตว์ตัวเล็กๆ มาละลายด้วยกรดหรือดองฟอร์มาลีนอยู่บ่อยๆ เมื่อเข้าชั้นมัธยม “เจฟฟรีย์” ถูกจับตามองว่ามีไอคิวสูง แต่เนื่องจากสภาพจิตใจที่ไม่ปกตินักและการขาดสมาธิ ทำให้ผลการเรียนไม่ดีเท่าที่ควร หนำซ้ำเขายังก่อเรื่องมากมายจนถูกตีตราว่าเป็นเด็กมีปัญหา ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของบิดา-มารดาก็แย่ลงเรื่อยๆ ก่อนที่ทั้งสองจะหย่ากันในปี ค.ศ. 1978

ช่วงนั้น “เจฟฟรีย์” กำลังจะเรียนจบชั้นมัธยม น้องชายของเขาย้ายไปอยู่กับแม่ บ่อยครั้งที่เขาต้องอยู่บ้านตามลำพัง ต่อมาเขาก็รู้ตัวว่าเขาเป็นเกย์ และเริ่มจินตนาการถึงคนรักในความคิด คนรักที่ไม่ทรยศ ไม่ต่อล้อต่อเถียงและไม่หนีไปจากเขา ภาพในจินตนาการนั้นยิ่งนานวันก็ยิ่งเหมือนศพมากกว่าคนเป็นๆ

กลางเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 1978 “เจฟฟรีย์” พบกับ “สตีเว่น ฮิกซ์” เขาตกหลุมรักอีกฝ่ายและเอาเหล้ากับกัญชามาหลอกล่อพา “สตีเว่น” กลับบ้าน ทั้งสองคุยกันอย่างถูกคอ แต่เมื่อ “สตีเว่น” จะลากลับบ้าน “เจฟฟรีย์” ที่ไม่อยากให้เขากลับไปก็ตีเขาด้วยพลั่วและบีบคอจนตาย หลังจากข่มขืนศพแล้วก็ตัดศพเป็นชิ้นๆ ซ่อนไว้ในห้องใต้ดินจนเมื่อศพเริ่มเน่าเขาจึงเอาไปฝังไว้ในป่า และเหมือนจะหนีจากความผิดของตัวเอง “เจฟฟรีย์” เริ่มดื่มเหล้าหนักจนกลายเป็นโรคติดแอลกอฮอลล์

หลังจาก “ไลโอเนล” แต่งงานใหม่กับ “ชาลี” เขาก็สนับสนุนให้ “เจฟฟรีย์” เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ หากโรคติดเหล้าก็ทำให้ “เจฟฟรีย์” ขาดเรียนบ่อยๆ จนต้องลาออกหลังจากจบเทอมแรก “ไลโอเนล” จึงส่งเขาเข้ากองทัพบกไปประจำอยู่ที่เยอรมนี แต่ “เจฟฟรีย์” ก็เอาแต่ดื่มเหล้าจนไม่เป็นอันทำงานอีกจนถูกถอดออกจากกองทัพ “ไลโอเนล” ที่กำลังจนปัญญาตัดสินใจส่งลูกชายไปอยู่กับย่า และในปี ค.ศ. 1985 เขาก็ได้งานในบริษัทแอมโบรเชียช็อคโกแลท

หลังจากได้งานไม่นานนัก “เจฟฟรีย์” ก็ไปบาร์เกย์บ่อยๆ แต่ด้วยความที่เป็นคนขี้อายจึงหาพาร์ทเนอร์ไม่ได้เสียที วิธีที่เขาคิดออกคือการผสมยานอนหลับลงในเหล้าของคนอื่น ซึ่งในไม่ช้าก็มีเรื่องร้องเรียนไปยังบาร์มากมายจนมีคำสั่งขึ้นชื่อ “เจฟฟรีย์” เป็นแขกที่ไม่พึงประสงค์ ช่วงนี้เองที่เขาเริ่มก่อคดีฆาตกรรมและอำพรางศพ

“เจฟฟรีย์” อาศัยอยู่กับย่าจนกระทั่งย่าของเขาเริ่มบ่นเรื่องกลิ่นเหม็นในห้องใต้ดิน เมื่อ “ไลโอเนล” มาตรวจดูก็พบเพียงของเหลวสีดำที่เลอะอยู่ทั่วพื้นโดยไม่มีสิ่งผิดปกติอย่างอื่น “ไลโอเนล” จึงคิดว่าไม่ควรให้ลูกชายอยู่รบกวนย่าต่อไป จึงแนะนำให้เขาออกมาอยู่ด้วยตัวเอง ต่อมาเขาจึงไปเช่าห้องหมายเลข 213

“เจฟฟรีย์” ยังคงเดินหน้าก่อคดีฆาตกรรมอย่างต่อเนื่องและเพิ่มความหฤโหดขึ้นตามลำดับจนกระทั่งเขาเริ่มกินศพของเหยื่อที่เขาฆ่า อย่างไรก็ตาม มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ “เจฟฟรีย์” เกือบถูกจับ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเขาพา “โคเนรัก สินธาสมพน” ไปยังที่พัก ทั้งๆ ที่ภายในห้องพักยังมีศพของเหยื่อรายก่อนหน้านี้อยู่ ! หลังให้ “โคเนรัก” ดื่มยานอนหลับและข่มขืนแล้ว “เจฟฟรีย์” ก็เจาะศีรษะของเด็กชายแล้วกรอกกรดเกลือลงไป จากนั้นเขาก็ออกไปซื้อเบียร์ แต่เมื่อกลับมาก็พบว่า “โคเนรัก” ออกมานอกห้องทั้งๆ ตำรวจที่รับเรื่องเห็นว่า “เจฟฟรีย์” เป็นคนผิวขาวจึงเชื่อคำพูดของเขาว่านี่เป็นเพียงการทะเลาะกันของคู่เกย์ธรรมดา เมื่อตรวจดูห้องนั่งเล่นแล้วก็ถอนตัวกลับไป แต่ในความเป็นจริงแล้วหากมีการตรวจค้นมากกว่านี้อีกสักนิด “เจฟฟรีย์” ก็คงจะถูกจับเสียแต่ตอนนั้นแล้ว ส่วน “โคเนรัก” ถูก “เจฟฟรีย์” หั่นเป็นชิ้นๆ และกิน

หลังเหตุการณ์ดังกล่าว “เจฟฟรีย์” ก็ยังคงก่อคดีฆาตกรรมเหยื่ออีกหลายราย จนกระทั่งถึงช่วงที่เขาโดนไล่ออกจากงาน เขาค้างค่าเช่าจนจะถูกไล่ออกจากอพาร์ทเมนต์อยู่แล้ว เขาจึงก่อคดีฆาตกรรมอย่างไม่เลือก นี่อาจเป็นการส่งท้ายสำหรับวิหารของเขาก็เป็นได้ และวันที่ 22 กรกฏาคม ค.ศ. 1991 “เทรซี่ เอ็ดเวิร์ด” ก็หนีออกมาได้ ทำให้ “เจฟฟรีย์” ถูกจับกุมในที่สุด

เนื่องจากรัฐวิสคอนซินได้ยกเลิกโทษประหารไปแล้ว “เจฟฟรีย์” จึงถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต และในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1994 เขาก็ถูกนักโทษคนอื่นทุบด้วยท่อนเหล็กจนเสียชีวิตขณะรับเวรทำความสะอาด

Andrei Romanovich Chikatilo

The Red Ripper,  The Rostov Ripper,  Butcher of Rostov

ขณะที่เกิดคดีนี้ขึ้นที่ประเทศรัสเซีย เคยมีการพูดเป็นเชิงเย้ยหยันว่า “คดีฆาตกรรมต่อเนื่องจะเกิดขึ้นก็แต่ในประเทศทุนนิยมเท่านั้น” ซึ่งค่านิยมนี้เองที่ทำให้การสืบสวนในคดีของ “ชิกาติโล” ล่าช้าและทำให้เขาสามารถก่อการฆาตกรรมอยู่ได้เป็นเวลานานทีเดียว

“อันเดร ชิกาติโล” เกิดที่หมู่บ้านยาโบลชนอย (Yabolchnoye) ในยูเครน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 1936 เขาเป็นเด็กเงียบขรึม เก็บเนื้อ-เก็บตัว เขาสายตาสั้นอย่างแรง หากก็กลัวถูกล้อเลียนจึงไม่ยอมใส่แว่น ซึ่งก็ยิ่งทำให้เขาทำงานผิดพลาดบ่อยๆ และถูกล้อเลียนหนักเข้าไปอีก (เขาไม่ยอมใส่แว่นจนกระทั่งสอบใบขับขี่เมื่ออายุ 30 ปี) “ชิกาติโล” เป็นคนขี้อายขนาดหนักโดยเฉพาะต่อหน้าเด็กผู้หญิง เขาพยายามสอบเข้ามหาวิทยาลัยมอสโควาเพื่อที่จะเอาชนะปมด้อยนี้ หากก็สุดท้ายก็สอบตก (ในข้อนี้เจ้าตัวกล่าวว่าที่จริงคะแนนของตัวเองดี แต่เพราะพ่อกลายเป็ยเชลยเยอรมัน เขาเลยสอบตก) แล้วหลังจากนั้นก็เข้าเรียนต่อในโรงเรียนการช่างแทน

หลังจากเข้ารับราชการทหาร 3 ปี “ชิกาติโล” กลับมายังบ้านเกิดและประสบกับเหตุการณ์ที่กลายมาเป็นตัวกำหนดชีวิตของเขาในภายหลัง ผู้หญิงที่เขาคบหาด้วยพบว่า “ชิกาติโล” ไม่มีสมรรถภาพทางเพศและนำเรื่องดังกล่าวไปพูดให้คนอื่นๆ รู้จนหมด “ชิกาติโล” อับอายและแค้นใจในเรื่องนี้มาก เขาถึงกับบอกในภายหลังการจับกุมว่าตนอยากจะฆ่าผู้หญิงคนนี้แล้วฉีกร่างของเธอให้เป็นชิ้นๆ อย่างไรก็ตาม แม้ “ชิกาติโล” จะไม่มีสมรรถภาพทางเพศก็จริง แต่เขาสามารถไปถึงจุดสุดยอดได้เมื่ออีกฝ่ายขัดขืน ซึ่งในจุดนี้เองที่ชี้ให้เห็นว่าเขาเป็นซาดิสซึ่ม

ปี ค.ศ. 1960 “ชิกาติโล” ทิ้งบ้านเกิดอันมีแต่ความทรงจำอันเลวร้าย แล้วย้ายไปยังกรุงรอสทอฟและประกอบอาชีพช่างไฟฟ้าที่นั่น หากก็ยังไม่มีเพื่อนฝูงเช่นเดิม จนเขาได้พบกับหญิงสาวที่น้องสาวแนะนำให้และแต่งงานกันในปี ค.ศ. 1963 หลังจากชีวิตเซ็กส์อย่างลุ่มๆ ดอนๆ เขาก็มีบุตรชายและบุตรสาวอย่างละคน แต่ “ชิกาติโล” กล่าวว่าการมีเซ็กส์กับภรรยานั้นเป็นเพียงการมีลูกเท่านั้นเอง เซ็กส์ในอุดมคติของเขาคือการที่ตนมีอำนาจอย่างเด็ดขาดเหนือผู้หญิง ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาสะสมความไม่พอใจนี้ไว้ทีละน้อยและทางออกเพียงทางเดียวของเขาก็คือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง

ปี ค.ศ. 1971 “ชิกาติโล” สอบได้ใบอนุญาตเป็นครูจากการศึกษาทางไปรษณีย์ ภรรยาของเขาภูมิใจในเรื่องนี้มากเพราะอาชีพครูนั้นถือเป็นตำแหน่งมีหน้ามีตาสำหรับรัสเซียในยามนั้น หากในความจริงแล้ว “ชิกาติโล” เป็นอาจารย์ที่ไม่ดีนัก เขาถูกดูหมิ่นทั้งจากนักเรียนและเพื่อนอาจารย์ด้วยกัน หากที่ยังไม่ยอมเลิกอาชีพครูก็เพราะเขาอาศัยตำแหน่งของตนเองแอบลอบเข้าไปถ้ำมองนักเรียนหญิงในหอพัก และในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1973 เขาก็ถูกจับได้เมื่อจะล่วงเกินทางเพศกับนักเรียนหญิงอายุ 14 ปี

หากคดีนี้ไม่แดงขึ้นมาเพราะทางโรงเรียนปิดข่าว “ชิกาติโล” ถูกสั่งย้าย คราวนี้เขาลอบเข้าไปในหอพักนักเรียนชายและถูกจับได้อีก แน่นอนว่าเขาถูกนักเรียนล้อเลียนในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

มาถึงตอนนี้ การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเริ่มไม่เพียงพอแล้ว “ชิกาติโล” ย้ายไปอยู่นอกเมืองและซื้อเพิงเล็กๆ ไว้สำหรับพาโสเภณีหรือคนจรจัดไปหาความสำราญ แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไง โรคไร้สมรรภภาพทางเพศก็ไม่ดีขึ้นเสียที แล้วในที่สุด “ชิกาติโล” ก็ก่ออาชญากรรมครั้งแรกขึ้น

22 ธันวาคม ค.ศ. 1978 หลังจาก “ชิกาติโล” กลับจากงาน เขาได้ชวน “เอเลน่า ซาโคทนอฟ” หายเข้าไปในเพิง ถัดจากนั้นสองวันเธอก็ถูกพบเป็นศพในแม่น้ำ แต่ตำรวจกลับทำการจับกุม “อเล็กซานดอล คราฟเชนโก้” ที่มีคดีติดตัวแทน “คราฟเชนโก้” ถูกบังคับให้รับสารภาพและถูกประหารในปี ค.ศ. 1984

อาชญากรรมครั้งแรกนี้คงสร้างความระแวงและความตระหนกแก่ “ชิคาติโล” ไม่น้อย เขาจึงไม่มีการเคลื่อนไหวอยู่พักใหญ่ ในระหว่างนี้ เขาถูกไล่ออกจากอาชีพครูและหันไปทำงานจัดสรรวัตถุดิบในโรงงานแทน และหลังจากทำงานใหม่ได้ 6 เดือน “ลาลิซ่า โทคาเชนโก้” ก็กลายมาเป็นเหยื่อรายที่ 2 เขาบีบคอเธอจนเสียชีวิตในป่าและไปถึงจุดสุดยอดขณะกำลังแทงศพเหยื่อด้วยมีด “ชิกาติโล” กล่าวถึงความตื่นเต้นของตนในตอนนั้นว่า เขาถึงกับลืมตัวลุกขึ้นเต้นรำรอบศพพร้อมกับส่งเสียงโห่ร้อง … ด้วยเหตุนี้เอง “ชิกาติโล” ฆาตกรที่โหดร้ายที่สุดของรัสเซียก็ถือกำเนิดเป็นตัวตนขึ้นมา !

หลังจากนั้นเป็นเวลา 12 ปี เขาสังหารเด็กและผู้หญิงกว่า 50 คน ผู้เคราะห์แต่ละรายถูกแทงเป็นแผลนับไม่ถ้วน บ้างก็ถูกควักลูกตา โดยเขาให้เหตุผลว่าเหยื่อสามารถจดจำใบหน้าของคนร้ายได้ในแววตาก่อนตาย เขาจึงต้องควักลูกตาของศพ หลายศพถูกเฉือนอวัยวะภายในและอวัยวะเพศเพื่อนำไปกิน บางครั้งก็นำกลับไปประกอบอาหารที่บ้าน และบางครั้งที่กินสดๆ เลยก็มี

มีหลายสาเหตุที่ทำให้ “ชิกาติโล” ถูกปล่อยให้ลอยนวลอยู่ถึง 12 ปี ประการแรกนั้นมาจากค่านิยมที่ว่า “คดีฆาตกรรมต่อเนื่องจะเกิดเฉพาะในประเทศทุนนิยม” นั่นเอง ความเชื่อที่ว่าในประเทศของตนไม่มีฆาตกรคดีต่อเนื่องอยู่นี้ ทำให้ไม่มีการสั่งสอนเด็กให้ระวังคนแปลกหน้าและตำรวจก็ไม่สามารถโยงคดีไปว่าเป็นคดีต่อเนื่องได้ กว่าจะรู้ว่าคดีที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของคนร้ายคนเดียวกัน จำนวนผู้เคราะห์ร้ายก็มีมากถึง 30 คนแล้ว

อาชีพของ “ชิกาติโล” เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ตำแหน่งการจัดสรรวัตถุดิบนี้ทำให้เขาไปในสถานที่ต่างๆ ได้โดยไม่มีผู้สงสัย เมื่อเขาก่อคดีทิ้งไว้ตามที่ต่างๆ ระบบตำรวจที่แบ่งเขตการรับผิดชอบก็ยากที่จะตามจับตัวได้ อีกทั้งขณะนั้นยังไม่มีการนำคอมพิวเตอร์ไปใช้ในรัสเซีย เอกสารคดีทั้งหมดต้องถูกจัดการด้วยมือ เมื่อมีข้อผิดพลาดใดก็สามารถปกปิดได้อย่างง่ายดาย

สาเหตุอีกข้อที่น่าสนใจคือลักษณะพิเศษทางร่างกายของ “ชิกาติโล” เชื้ออสุจิของเขาเป็นเลือดกรุ๊ป AB ในขณะที่ตัวเขาเองเป็นเลือดกรุ๊ป A เขาเคยถูกจับเนื่องจากมีพฤติกรรมน่าสงสัยเมื่อวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 1984 หากแต่เพราะกรุ๊ปเลือดนี้เองที่ทำให้ “ชิกาติโล” ถูกปล่อยตัวออกมาอย่างง่ายดาย

กระทั่ง 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1990 หลัง “กอร์บาชอฟ” ประกาศแผนการปกครอง Glasnost ให้มีการเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณชนและปรับปรุงระบบกรมตำรวจใหม่ทั้งหมด “ชิกาติโล” จึงถูกจับกุมในที่สุด เมื่อข้อมูลเกี่ยวกับฆาตกรคดีต่อเนื่องผู้นี้เผยแพร่ไปถึงตำรวจในที่ต่างๆ กุญแจสำคัญที่ทำให้เขาถูกจับได้ก็มาจากการสอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุนั่นเอง (ที่จริงแล้ว “ชิกาติโล” เคยถูกสอบปากคำหลายหนมาก หากก็รอดมาได้ทุกครั้ง) เมื่อทำการเทียบบันทึกเวลาทำงานกับเวลาเกิดคดีแล้ว KGB กับตำรวจท้องถิ่นก็จับตามอง “ชิกาติโล” และทำการจับกุมไว้ได้ เนื่องจากผู้เคราะห์ร้ายหลายรายเป็นผู้เกี่ยวข้องกับทางตำรวจ การสอบปากคำหลังการจับกุมจึงถูกกระทำที่ตึกที่ทำการของ KGB เพราะเกรงว่าจะมีการทำร้าย “ชิกาติโล” เพื่อการล้างแค้น

14 เมษายน ค.ศ. 1992 ศาลไต่สวนคดีของ “ชิกาติโล” เริ่มขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่า ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไรก็ไม่เป็นที่ใส่ใจสำหรับ “ชิกาติโล” อีกแล้ว เขาเอาหนังสือโป๊มาอ่านระหว่างการขึ้นศาล เดี๋ยวก็ร้องเพลงชาติรัสเซีย เดี๋ยวก็ร้องเรียนให้จัดหาล่ามภาษายูเครนแล้วอยู่ๆ ก็กระโดดขึ้นมาถอดกางเกงของตนพร้อมกับร้องท้าทายผู้เข้าฟังคดี การกระทำเหล่านี้สร้างความโกรธแค้นให้กับญาติของผู้เคราะห์ร้ายเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เอกสารบางแห่งกล่าวว่า เขาได้รับคำแนะนำให้แสดงพฤติกรรมดังกล่าวเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนวิกลจริตจะได้รอดพ้นโทษประหาร … ที่นั่งจำเลยของ “ชิกาติโล” จึงถูกล้อมด้วยลูกกรง ไม่ใช่เพื่อกันเขาไม่ให้ไปทำร้ายผู้อื่น หากเพื่อป้องกันเขาให้รอดพ้นจากการโดนรุมประชาทัณฑ์

อีกนัยหนึ่ง การก่อกวนศาลนี้เป็นการกระทำเพื่อยืดเวลาในการพิจารณาคดีออกไป หากแผนดังกล่าวก็ไม่เป็นผลสำหรับศาลรัสเซียนัก ซ้ำยังทำให้ทนายฝ่าย “ชิกาติโล” แสดงความไม่พอใจต่อลูกความตัวเองอีกด้วย แล้วในวันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1992 “ชิกาติโล” ก็ได้รับคำพิพากษาว่าผิดจริงในคดีฆาตกรรม 52 คดี และถูกตัดสินโทษประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1994

เอกสารอ้างอิง :

01. http://www.unigang.com/Article/15772
02. Ohx3. http://ohx3.exteen.com/category/MurderCase
03. แคมมี่ เด็กดีดอทคอม. http://writer.dek-d.com/Writer/story/view.php?id=46785601.

ใส่ความเห็น